Juvelook คืออะไร? เหมาะกับใคร ต้องฉีดกี่ครั้ง? ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง? ราคาเท่าไหร่?
ในยุคที่คนหันมาดูแลตัวเอง ดูแลรูปร่าง รวมถึงผิวพรรณกันมากขึ้น เทคโนโลยีก็ต่างพัฒนาขึ้นเช่นกัน เช่นเดียวกันกับการทำหัตถการที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ใครหลาย ๆ คนที่หันมาดูแลผิวพรรณ ที่อยากมีผิวที่สวย กระจ่างใส ดูสุขภาพดี อยากที่จะแก้ปัญหาเรื่องริ้วรอย รูขุมขนกว้าง ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น หนึ่งในหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้คือ Juvelook โดยในบทความนี้เราจะพาไปรู้จักกับ Juvelook ว่าคืออะไร? ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง? ต้องฉีดกี่ครั้ง? รวมถึงราคาเท่าไหร่?
Juvelook คืออะไร? ทำความรู้จักโปรแกรมนี้กัน
Juvelook (จูวีลุค) หรืออีกชื่อที่นิยมเรียกกันคือ ไหมน้ำ เป็นโปรแกรมงานผิวประเภทคอลลาเจนบูสเตอร์ เป็นการกระตุ้นสร้างคอลลาเจนจากส่วนผสมหลักคือ PDLLA (Poly–D-L-Lactic Acid) ที่เป็นตัวช่วยหลักในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ช่วยยกกระชับผิวได้ดี และส่วนผสมอีกตัวคือ HA (Hyaluronic Acid) ที่เป็นตัวช่วยในการเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก เติมน้ำให้ผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว
Juvelook ช่วยเรื่องอะไร?
จากส่วนผสมหลักทั้งตัว PDLLA และ HA ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวแล้ว ตัว Juvelook ยังสามารถช่วยและแก้ปัญหาผิวได้อีกหลากหลาย ดังนี้
- ช่วยให้รูขุมขนที่กว้าง กลับมาแน่นกระชับ
- ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน กระจ่างใส
- ช่วยลดริ้วรอย และยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยได้
- ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว แก้ปัญหาผิวขาดน้ำ
- ช่วยแก้ปัญหารอยหลุมสิว รอยแผลเป็น รอยดำต่าง ๆ ให้จางลง
- ช่วยลดรอยผิวแตกลาย ให้ผิวเรียบสม่ำเสมอ
Juvelook เหมาะกับใคร?
Juvelook เหมาะสำหรับคนที่พบเจอกับปัญหาผิวต่าง ๆ เหล่านี้
- คนที่มีผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ ไม่มีความชุ่มชื้น
- คนที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวไม่เรียบเนียน
- คนที่มีหลุมสิว รอยแดง รอยดำ รวมถึงรอยแผลเป็น
- คนที่ผิวหมองคล้ำ ใต้ตาคล้ำ ขอบตาดำ มีร่องน้ำตา
- คนที่มีริ้วรอย มีรอยย่น ตีนกา
Juvelook มีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้างที่คนฉีดควรจะรู้?
ข้อดีของการฉีด Juvelook
- มีส่วนผสมที่ช่วยแก้ปัญหาผิวที่ดี ทั้ง PDLLA และ HA ในตัวเดียวกัน
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว เติมเต็มผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
- ช่วยลดปัญหาริ้วรอย รอยแตกลายบนผิว รวมถึงรอยแผลเป็นได้
- สามารถฉีดเฉพาะจุดที่เป็นปัญหาได้ เช่น ใต้ตา แก้ม หรือทั่วใบหน้า
- เห็นผลทันทีหลังจากที่ฉีด โดยไม่จำเป็นต้องทำการนวดหน้าแต่อย่างใด
- สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 18-24 เดือน หากมีการฉีด 3 ขวด อย่างต่อเนื่อง
ข้อเสียของการฉีด Juvelook
- ต้องมีเวลาเนื่องจากหากอยากเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ต้องฉีดต่อเนื่องจนครบจำนวน 3 ครั้ง
- อาจจมีอาการบวม รอยช้ำ รอยแดง รอยนูนบริเวณที่ฉีด แต่อาการเหล่านี้จะหายไปเองได้ภายใน 2-3 วันเท่านั้น
Juvelook สามารถฉีดบริเวณไหนได้บ้าง?
Juvelook สามารถฉีดได้หลายบริเวณเพื่อแก้ปัญหาผิว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและคำแนะนำบริเวณที่ฉีดเพื่อความเหมาะสมและความปลอดภัย โดยบริเวณที่สามารถฉีดได้มีดังนี้
- บริเวณหน้าผาก เพื่อเติมริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ ให้กลับมาเรียบเนียน
- บริเวณรอบดวงตา เพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยรอบด้วยตา ปัญหาใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตาใหญ่
- บริเวณแก้ม ร่องแก้ม เพื่อยกกระชับแก้ม ทำให้แก้มเต่งตึง รวมถึงร่องลึกหรือร่องน้ำหมาก
- บริเวณมุมปาก เพื่อยกกระชับมุมปากที่หย่อนคล้อย
- บริเวณกรอบหน้า เพื่อปรับรูปหน้าให้ดูคมชัด และการยกกระชับความหย่อนคล้อย
- บริเวณลำคอและหลังมือ เพื่อเติมเต็มและฟื้นฟูให้ผิวเต่งตึง ลดรอยย่น
Juvelook ต้องฉีดกี่ cc กี่ขวด กี่ครั้ง ถึงจะเห็นผล?
จำนวนของการฉีดนั้นขึ้นอยู่กับสภาพผิว หรือปัญหาผิวของแต่ละบุคคลที่เจอ รวมถึงผลลัพธ์ที่ต้องการ แนะนำให้ประเมินกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน โดยที่
- Juvelook 1 ขวด มี 6 cc จะเหมาะกับการฉีดลดริ้วรอยเล็ก ๆ ใต้ตาคล้ำ หน้าแห้งกร้าน
- Juvelook 2-3 ขวด จะเหมาะกับการฉีดแก้ปัญหาริ้วรอยร่องลึกที่เห็นชัด ใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตาใหญ่ รูขุมขนกว้าง มีหลุมสิว โดยแบ่งฉีดครั้งละ 1 ขวดต่อเนื่อง 2-3 ครั้ง
- ซึ่งแนะนำให้ฉีด 2-3 ครั้งต่อเนื่องกันเดือนละครั้ง แล้วเว้นระยะห่างประมาณ 6-12 เดือน แล้วค่อยมาฉีดอีก เพื่อคงผลลัพธ์ของสภาพผิวให้มีประสิทธิภาพ
การเตรียมตัวก่อนฉีด Juvelook
การเตรียมตัวก่อนฉีดเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้คงผลลัพธ์ที่ดีและยาวนาน รวมถึงลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยข้อปฏิบัติก่อนการฉีดมีดังนี้
- ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิว และขอคำแนะนำเกี่ยวกับการฉีดกับผลลัพธ์ที่เราต้องการ
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติการแพ้ยา หรือแพ้สารใด ๆ เพื่อให้แพทย์ประเมินความเหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาและอาหารเสริมบางชนิด เช่น ยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด อย่างแอสไพริน อาหารเสริมเช่นพวก วิตามิน E หรือสารสกัดจากแปะก๊วย อย่างน้อยก่อนฉีด 1-2 สัปดาห์
- ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อรักษาสุขภาพผิว รวมถึงทาครีมบำรุงผิวเพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้น
- ทำความสะอาดใบหน้าให้ปราศจากเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกก่อนการฉีดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนทำการฉีดอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง
การดูแลผิวหลังจากฉีด Juvelook
การดูแลผิวหลังจากฉีดที่ถูกต้อง ช่วยทำให้ผลลัพธ์คงอยู่นานและมีประสิทธิภาพ รวมถึงลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ หรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ โดยข้อปฏิบัติการดูแลผิวหลังจากฉีด Juvelook มีดังนี้
- หลังจากฉีดหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และการกระจายของตัวยาไปบริเวณอื่น
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อน เช่นออกกำลังกายหนัก ซาวน่า กิจกรรมกลางแจ้ง เช่น อาบแดด เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบและบวมได้ โดยหลีกเลี่ยงอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
- ประคบเย็นถ้าหากมีอาหารบวมแดง หรือรอยช้ำ
- หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- งดดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงงดสูบบุหรี่ เนื่องจากส่งผลต่อการฟื้นตัวที่ช้าลง และอาจเสี่ยงเกิดอาการบวมได้
- ดื่มน้ำให้มาก เพื่อให้ส่วนประกอบหลักอย่าง HA ดูดซับน้ำได้ดี และพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- หากมีอาการบวมแดง เจ็บปวด หรืออาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
Juvelook อันตรายไหม?
Juvelook เป็นหัตถการที่ปลอดภัย เพราะได้ผ่านการรับรองความปลอดภัยจากคณะกรรมการอาหารและยาหรืออย. ทั้งของประเทศไทย และประเทศเกาหลีเป็นที่เรียบร้อย จึงมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรที่จะฉีดกับตัวยาที่เป็นของแท้และฉีดกับหมอที่มีประสบการณ์เท่านั้น
Juvelook กี่วันเห็นผล? และคงผลลัพธ์ได้นานไหม?
การฉีด Juvelook นั้นหลังจากทำการฉีดสามารถเห็นผลได้ทันที และจะเห็นผลชัดเจนมากขึ้นหลังจากนั้น 1-2 สัปดาห์ แต่หากช่วงประมาณ 2-4 สัปดาห์จะเป็นช่วงที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนสุด และผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้นานถึง 18-24 เดือนแต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล
Juvelook บวมกี่วัน?
หลังจากการฉีด Juvelook นั้นจะมีอาการบวม รอยแดง หรือรอยช้ำบริเวณที่ทำการฉีด แต่หลังจากนั้น 2-3 วันรอยแดง หรือรอยบวมนั้นจะหายไปและค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ถ้าหากหลังจากฉีด 2-3 วันอาการยังไม่ดีขึ้นแนะนำให้รีบเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที
Juvelook กับ Sculptra ต่างกันยังไง เลือกฉีดอะไรดี?
Juvelook กับ Sculptra เหมือนกันตรงที่เป็นหัตถการกลุ่มคอลลาเจนบูสเตอร์ ที่มีจุดเด่นในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว แต่ต่างกันที่ส่วนประกอบ คุณสมบัติและวิธีการทำงาน ดังนี้
- Juvelook ประกอบไปด้วยสาร PDLLA (Poly–D-L-Lactic Acid) และ HA (Hyaluronic Acid) ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก เน้นช่วยเรื่องเติมเต็มงานผิว การเติมความชุ่มชื้นให้ผิว เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังจากทำ และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 18-24 เดือนขึ้นอยู่กับสภาพผิว เหมาะกับคนที่อยากเห็นผลลัพธ์แบบทันที และผู้ที่ต้องการมีผิวที่กระชับ เรียบเนียน ไม่มีริ้วรอย
- Sculptra ประกอบด้วยสาร PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ที่มีขนาดโมเลกุลที่ใหญ่กว่า เน้นไปที่ช่วยการยกกระชับ ซึ่งผลลัพธ์จะเห็นช้ากว่า โดยใช้เวลาหลายเดือนถึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน แต่สามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปีหรือในบางคนอาจมากกว่านั้น เหมาะสำคัญผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนาน ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป รวมถึงต้องการเพิ่มความกระชับของใบหน้า แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย
ใต้ตาหมองคล้ำ ฉีด Juvelook หรือ ฟิลเลอร์ใต้ตาดี?
Juvelook และการฉีด ฟิลเลอร์ใต้ตา นั้นสามารถแก้ปัญหาใต้ตาหมองคล้ำได้เหมือนกันทั้งคู่ การเลือกทำควรเลือกจากปัญหาและผลลัพธ์ที่ต้องการ รวมถึงการประเมินจากแพทย์ด้วย โดยที่
- การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะแก้ปัญหาที่ตรงจุดกับการมีถุงใต้ตา ร่องน้ำตา รอยย่นใต้ตา ตาลึกโบ๋ได้
- การฉีด Juvelook นั้นสามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้ เนื่องจากในบางกรณีผิวยุบบางลง ทำให้เบ้าตาลึก ใต้ตาคล้ำ ขอบตาดำ รวมถึงอยากเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวรอบดวงตา เติมเต็มผิวให้หนาขึ้น ลดการมองเห็นเส้นเลือดใต้ผิวได้
- ซึ่งสามารถฉีดได้ ทั้ง Juvelook และ ฟิลเลอร์ใต้ตาพร้อมกันได้ เพราะถ้าฉีดคู่กัน จะยิ่งทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นมาก แต่ทั้งนี้ปริมาณการฉีดหรือจำนวนครั้งที่ฉีดควรทำตามที่แพทย์แนะนำ
Juvelook ทำคู่กับหัตถการอื่นได้ไหม?
การฉีด Juvelook นั้นสามารถทำคู่กับหัตถการอื่นได้ เช่นการเลเซอร์ผิว การใช้เครื่องยกกระชับ การฟื้นฟูผิวหน้า หรือการขัดผิว และควรมีการเว้นระยะห่างในการทำแต่ละหัตถการด้วย แต่ถ้าหากเป็นหัตถการประเภทฉีด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการทำการฉีดคู่กัน เพื่อความเหมาะสมและความปลอดภัย
ฉีด Juvelook ที่ไหนดี?
- ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีการรีวิวที่น่าเชื่อถือและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์
- สามารถตรวจสอบตัวยาได้ ว่าเป็นของแท้หรือได้มาตรฐานหรือไม่ เพื่อความปลอดภัยของผู้ฉีด
- เลือกคลินิกที่มีการตั้งราคา และโปรโมชันที่สมเหตุสมผล ไม่แอบอ้างสรรพคุณเกินจริง
- เลือกคลินิกที่ให้คำแนะนำอย่างละเอียดทั้งการเตรียมตัวก่อนการฉีด การดูแลหลังการทำที่เหมาะสม
- เลือกคลินิกที่ติดตามผลการรักษา รวมถึงได้ความการรับรองความปลอดภัยจากกระทรวงสาธารณสุข
- เลือกคลินิกที่มีความสะอาด มีอุปกรณ์ที่ทันสมัย เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ
Juvelook ที่กังนัมคลินิกราคาเท่าไหร่?
โดยราคาของการฉีด Juvelook นั้นมีหลากหลายช่วงราคาขึ้นอยู่กับโปรโมชันของแต่ละคลินิก แต่ส่วนใหญ่แล้วราคาจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 ไปจนถึง 25,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งหากเจอราคาหรือโปรโมชันที่ถูกมากเกินไป อาจจะต้องทำการสันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าตัวยาเป็นของปลอมไหม ได้มาตรฐานหรือเปล่า และควรหลีกเลี่ยงการฉีดเพราะอาจเสี่ยงทำให้เกิดอันตรายได้
รีวิวการฉีด Juvelook ที่กังนัมคลินิก
สรุป Juvelook คืออะไร? เหมาะกับใคร ต้องฉีดกี่ครั้ง? ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง? ราคาเท่าไหร่?
Juvelook คือโปรแกรมงานผิวประเภทคอลลาเจนบูสเตอร์ ที่ประกอบด้วยสาร PDLLA ที่เป็นตัวช่วยหลักในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ช่วยยกกระชับผิวได้ดี และส่วนประกอบอีกตัวคือสาร HA ที่เป็นตัวช่วยในการเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก เติมน้ำให้ผิว ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว ซึ่งถือว่าเหมาะกับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังจากทำ และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 18-24 เดือนขึ้น อีกทั้งเหมาะกับผู้ที่ต้องการมีผิวที่กระชับ เรียบเนียน ไม่มีริ้วรอย และที่สำคัญควรเลือกฉีดกับคลินิกที่มีมาตรฐานและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์เพื่อความเหมาะสมของผลลัพธ์ตามที่เราต้องการ รวมถึงความปลอดภัยของตัวผู้ใช้บริการเอง