เทรนด์ความงามที่กำลังมาแรงในขณะนี้ หลายท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อนวัตกรรม “Radiesse” โดยการเติมเต็มริ้วรอยด้วย Radiesse เป็นทางเลือกยอดนิยมเป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ของผิว ลดริ้วรอย ซึ่งเป็นสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบจากธรรมชาติ บทความนี้จะพาท่านไปทำความรู้จักว่า Radiesse คืออะไร? แตกต่างจากฟิลเลอร์อย่างไร? และมีส่วนช่วยในการดูแลผิวพรรณอย่างไรบ้าง?
Radiesse คืออะไร?
Radiesse คือสารเติมเต็มที่จัดอยู่ในประเภทเดียวกับการฉีดฟิลเลอร์ มีส่วนประกอบหลักเป็น Calcium Hydroxyapatite (CaHA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในกระดูกของมนุษย์เอง และเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการช่วยฟื้นฟูการทำงานของ Fibroblast ซึ่งเป็นเซลล์สร้างคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) ในชั้นผิว ที่มีส่วนสำคัญในการช่วยให้โครงสร้างผิวมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และเต่งตึง
Radiesse มีหลักการทำงานอย่างไร?
หลังจากฉีด Radiesse เข้าสู่ใต้ชั้นผิวของเรา CaHA จะเข้าไปช่วยเสริมสร้างโครงสร้างผิว และเติมเต็มบริเวณที่เป็นร่องลึก ช่วยเติมเต็มริ้วรอย ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและมีมิติ นอกจากนี้ การทำงานของ Radiesse จะช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวให้ผลิตคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว ซึ่งช่วยให้ผิวดูเต่งตึงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะเวลา 3-6 เดือนหลังการฉีด
Radiesse สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย คนไข้จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงระยะยาว
Radiesse มีคุณสมบัติช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
Radiesse มีคุณสมบัติช่วยในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
Radiesse ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน Type I และ III ในผิวหนัง ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และเรียบเนียนในระยะยาว - ปรับรูปหน้า
สามารถใช้เพิ่ม Volume ให้กับใบหน้า เช่น แก้มและคาง ทำให้ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น - เติมเต็มร่องลึก
ช่วยเติมเต็มร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า - เห็นผลัพธ์หลังฉัดได้ทันที
และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 2 ปี
ทั้งนี้ การฉีด Radiesse ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาพผิวแต่ละบุคคล
Radiesse ต่างจากฟิลเลอร์อย่างไร?
คุณสมบัติ | Radiesse | ฟิลเลอร์ทั่วไป |
ส่วนประกอบ | Calcium Hydroxyapatite (CaHA) | Hyaluronic Acid (HA) |
กระตุ้นคอลลาเจน | ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน | น้อยกว่า Radiesse |
ความคงทน | 2 ปี | 6-12 เดือน |
บริเวณที่ฉีด | แก้ม คาง ร่องลึกต่าง ๆ | ปาก ใต้ตา |
โดยสรุปเเล้ว Radiesse จะมีความหนืดมากกว่าฟิลเลอร์ ทำให้เหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณที่มีร่องลึก เช่น ร่องแก้มและร่องน้ำหมาก นอกจากการเติมเต็มร่องลึกแล้ว Radiesse ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ซึ่งทำให้เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Radiesse vs Sculptra
Radiesse และ Sculptra เป็นสารที่ฉีดเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเติมเต็มริ้วรอยเช่นเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันในหลายด้าน โดย Radiesse หลังการฉีดจะเห็นผลลัพธ์ทันทีและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้มีผลลัพธ์ที่ยาวนาน ส่วน Sculptra ผลลัพธ์จะค่อยๆเห็นหลังจากฉีด 4-6 สัปดาห์ และจะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 3-6 เดือน
หากท่านกำลังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรฉีดตัวไหนดีกว่ากัน เราสรุปให้ได้ว่า Radiesse เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึกและปรับรูปหน้า แต่ Sculptra เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวและเพิ่มความเต่งตึงในบริเวณกว้าง การเลือกฉีดควรคำนึงถึงความต้องการของคนไข้และคำแนะนำจากแพทย์
Radiesse มีกี่รุ่น? ต่างกันอย่างไร?
Radiesse มีทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ Radiesse และ Radiesse Plus ทั้ง 2 รุ่นมีส่วนประกอบเหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันที่ Radiesse Plus จะเป็นรุ่นที่มีส่วนผสมเพิ่มของยาชาหรือ Lidocaine 0.3% จึงมีความคงตัวสูง ช่วยปรับโครงหน้าได้ดี สามารถยกกระชับใบหน้าได้ในทันที และช่วยลดความเจ็บในขณะฉีด
Radiesse เหมาะกับใครบ้าง?
Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาดังต่อไปนี้
- ผู้ที่มีริ้วรอยและร่องลึก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเต็มร่องแก้ม รอยย่น และริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้า
- ผู้ที่ต้องการมีผิวอ่อนเยาว์เหมือนเด็ก เพิ่มคอลลาเจนให้กับผิว
- ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า กรอบหน้าไม่ชัด
- ผู้ที่ต้องการผิวดูอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด Radiesse เป็นการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้นนาน
ฉีดตรงไหนได้บ้าง
Radiesse สามารถฉีดได้ในหลายจุดบนใบหน้าและร่างกาย โดยส่วนใหญ่จะใช้ในบริเวณดังต่อไปนี้
- ขมับ เติมเต็มพื้นที่บริเวณขมับที่เริ่มตอบหรือมีความหย่อนคล้อย
- แก้ม ปรับรูปหน้าให้ดูเต็ม เพิ่มมิติให้กับใบหน้า
- ร่องแก้ม เติมเต็มร่องลึกบริเวณมุมปาก
- คาง ปรับรูปคางให้เรียวสวย
- มือ ฟื้นฟูผิวมือที่เหี่ยวย่น ให้ดูเต่งตึงอีกครั้ง
เทคนิกการฉีด Radiesse มีกี่แบบ?
เทคนิคการฉีด Radiesse มีหลายแบบ สามารถทำได้ทั้งในรูปแบบฟิลเลอร์เพื่อเน้นการเติมเต็ม และในรูปแบบที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและบริเวณที่ต้องการฉีด แบ่งออกเป็น 2 แบบหลัก ๆ ได้แก่
Non-diluted
เป็นการฉีดฟิลเลอร์ Radiesse โดยไม่ผสมน้ำเกลือ ซึ่งมักใช้เพื่อเติมเต็มบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้า เช่น กรอบหน้า สันจมูก และคาง ผลลัพธ์ที่ได้จะคล้ายกับฟิลเลอร์ทั่วไป แต่ไม่เน้นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
Diluted และ Hyper Diluted
เทคนิคนี้จะมีการผสม Radiesse กับน้ำเกลือและยาชาในอัตราส่วนที่เหมาะสม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวในวงกว้าง โดยแพทย์จะพิจารณาตำแหน่งและความหนาของผิวเพื่อกำหนดอัตราส่วนการผสมที่เหมาะสม ทั้งนี้ การจะเลือกฉีดด้วยเทคนิคใดนั้น ขึ้นอยู่กับความชำนาญของแพทย์ผู้ทำการฉีดด้วย
Radiesse 1 กล่อง มีกี่ CC? ราคาเท่าไหร่?
ราคาของ Radiesse จะเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 36,000 บาทต่อหลอด โดยใน 1 หลอดจะมีปริมาณ 1.5 CC อย่างไรก็ตาม ราคานี้อาจแตกต่างกันได้ตามแต่ละคลินิก
ฉีดกี่ครั้งถึงเห็นผล?
จำนวนครั้งในการฉีด Radiesse ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพผิว บริเวณที่ฉีด รวมถึงความต้องการของคนไข้ โดยส่วนใหญ่สามารถเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการฉีดครั้งแรก โดยเฉพาะสำหรับการเติมเต็มริ้วรอยร่องลึกและปรับรูปหน้า และควรฉีดติดต่อกัน 1-3 ครั้ง ภายในระยะเวลา 12 เดือน เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน และเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
ผลข้างเคียงหลังฉีด Radiesse
หลังการฉีด Radiesse อาจมีอาการ เช่น รอยแดง รอยช้ำ หรือคันบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะหายไปเองในเวลาไม่นาน แต่หากพบอาการผิดปกติ เช่น ร้อนแดงบริเวณที่ฉีด ผิวบริเวณนั้นซีดลงหรือมีการเปลี่ยนสี ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษา
การดูแลตัวเองหลังฉีด Radiesse
การฉีด Radiesse มีความปลอดภัยสูง แต่ยังมีข้อควรรู้ก่อนเข้ารับบริการและการดูแลตัวเองหลังการฉีด ดังนี้
- งดออกกำลังกาย
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงหนักเป็นเวลา 24 ชั่วโมง - หลีกเลี่ยงแสงแดด
ควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดหรืออากาศร้อน - งดสัมผัสบริเวณที่ฉีด
ไม่ควรสัมผัสหรือถูแรง ๆ บริเวณที่มีอาการบวมและแดง เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบได้
คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับ Radiesse
ฉีด Radiesse เจ็บไหม?
การฉีด Radiesse อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่ความเจ็บขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและบริเวณที่ฉีด โดยแพทย์มักใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อบรรเทาความเจ็บในระหว่างการฉีด
ข้อดี-ข้อเสีย
ข้อดีของ Radiesse
- เห็นผลลัพธ์ได้ทันทีและผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 2 ปี
- มีความปลอดภัยสูง
- เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึกและปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์
ข้อเสียของ Radiesse
- อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น บวมและรอยช้ำบริเวณที่ฉีด
- ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางประการ หรือผู้ที่ตั้งครรภ์
- ต้องอาศัยเทคนิคการฉีดที่ถูกต้องและความชำนาญของแพทย์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ฉีด Radiesse แล้วหน้าบวมไหม?
หลังจากการฉีด Radiesse อาจเกิดอาการบวมบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไป โดยมักจะมีอาการบวมเล็กน้อยและจะลดลงภายใน 24-48 ชั่วโมง ในบางท่านอาจบวมนานกว่านั้น คนไข้สามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม หรืออาจเลือกใช้เทคนิคเข็มทู่ซึ่งจะช่วยลดอาการบวมช้ำที่อาจเกิดขึ้นได้
ฉีด Radiesse ที่ไหนดี?
การเลือกสถานที่ฉีด Radiesse เป็นสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณา นอกจากความปลอดภัยแล้ว ยังต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เพราะ Radiesse อยู่บนใบหน้าเราไปอีกถึง 2 ปี ควรเลือกคลินิกที่ได้รับการรับรองและมีความน่าเชื่อถือ แพทย์ควรมีความชำนาญในการใช้ Radiesse รวมถึงรู้เทคนิคการเตรียมและผสมผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้อง ควรใช้ Radiesse ของแท้ โดยให้ตรวจสอบกล่องทุกกล่องก่อนทำการฉีดเพื่อความมั่นใจ
รีวิวก่อน-หลังฉีด Radiesse ที่กังนัมคลินิก
สรุปเติมเต็มริ้วรอยด้วย Radiesse คืออะไร? ต่างจากฟิลเลอร์อย่างไร? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
Radiesse เป็นสารเติมเต็มที่มีส่วนช่วยฟื้นฟูการทำงานของเซลล์ผิว และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว สามารถช่วยเติมเต็มริ้วรอย ช่วยเพิ่มความยืดยุ่นให้กับผิวที่มีความแตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไปที่ใช้สาร Hyaluronic Acid (HA) โดย Radiesse มีส่วนประกอบหลักคือ Calcium Hydroxyapatite (CaHA)
สำหรับคนที่สนใจโปรโมชั่น หรือข้อมูลหัตถการต่างๆ สามารถแอดไลน์ @gangnamclinic และช่องทาง Facebook เพื่อสอบถามโปรโมชั่นเพิ่มเติม และสามารถเข้ามาปรึกษาหมอฟรี ที่กังนัมคลินิกใกล้บ้านคุณโดยไม่มีค่าใช้จ่าย