ฉีดโบท็อกซ์ลดกราม ช่วย ลดขนาดกรามที่ใหญ่ หนาในเวลาอันรวดเร็ว ไม่เจ็บตัวเพราะไม่ต้องผ่าตัด แถมยังช่วยลดริ้วรอยในบริเวณใกล้เคียง เช่น แก้ม ใต้คาง ลำคอ เป็นต้น แต่สิ่งที่หลายคนสงสัยก็คือ ถ้าอยากหน้าเรียว V-Shape ดูอ่อนกว่าวัย เลือกฉีดโบท็อกซ์ลดกรามอย่างเดียวเอาอยู่ไหม ต้องฉีดกี่ครั้งถึงจะได้ผลที่สมบูรณ์ที่สุด บทความนี้จะมาตอบข้อสงสัยทั้งหมด พร้อมข้อเท็จจริงแบบไม่กั๊กว่า ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์ลดกราม ไม่ต้องเสียเวลาเข้าคลินิกแล้วโดนป้ายยาผิดๆ เพื่อป้องกันการถูกหลอกให้เสียเงินฟรี
โบท็อกซ์ลดกราม คืออะไร
คือหัตถการความงามลดขนาดกราม ปรับโครงหน้า โดยเข็มฉีดยา ที่จะฉีดนำเอาตัวยา Botulinum Toxin type A หรือมีชื่อทางการค้าว่า Botox ออกฤทธิ์กับกล้ามเนื้อกราม ที่มัดแน่นเกร็ง จนมีขนาดใหญ่และหนา คลายตัวและเล็กลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว ส่งผลให้ใบหน้าเรียวเล็กลงแบบ V-Shape
ใบหน้าที่เหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์กราม
ใบหน้าเหลี่ยม
จากปัญหากล้ามเนื้อกรามใหญ่ ซึ่งเกิดจากการชอบเคี้ยวอาหารแข็ง เหนียวเกินไปบ่อยๆ หรือติดพฤติกรรมชอบนอนกัดฟันตัวเอง
ใบหน้าไม่เท่ากัน หน้าเบี้ยว
จากขนาดกล้ามเนื้อกรามซ้าย-ขวา มีลักษณะเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน
ใบหน้าบาน
จากปัญหากล้ามเนื้อกรามหนาเกินไป เกิดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้ออยู่ตลอดเวลา
ใบหน้าที่ไม่เหมาะกับการฉีดโบท็อกซ์ลดกราม
ใบหน้าใหญ่จากกระดูกกราม
เพราะการฉีดโบท็อกซ์จะได้ผลกับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อเท่านั้น ดังนั้นหากปัญหาเกิดจากกระดูก คนไข้จำเป็นต้องใช้เทคนิคศัลยกรรมผ่าตัดกระดูกกราม
ใบหน้าใหญ่จากไขมันแก้มเยอะ หากฉีดโบท็อกซ์กรามแล้ว อาจจะเห็นผลไม่ชัดเจน
ควรฉีดสลายไขมันส่วนเกินบริเวณแก้ม หรือเหนียงใต้คาง ร่วมด้วยจะเห็นผลชัดเจนที่สุด
ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโหนกแก้มสูง
เพราะเมื่อกรามมีขนาดลดลง จะยิ่งทำให้ใบหน้าดูตอบ ทำให้เห็นโหนกแก้มชัดขึ้น ผลลัพธ์ที่คาดหวังว่าจะได้หน้าเรียวดูกเด็กลง อาจจะทำให้ได้หน้าดุ ดูแก่เข้าไปอีก ซึ่งมีวิธีแก้คือเติมฟิลเลอร์ปรับพื้นที่โหนกแก้ม
ฉีดโบท็อกซ์ลดกรามอย่างเดียว ทำให้หน้าดูเด็กลงจริงไหม
เมื่อเทียบกับคนที่มีใบหน้าใหญ่ พบว่าคนที่มีรูปหน้าเรียวเล็ก จะดูเด็กกว่าจริงๆ แต่การมีใบหน้าอ่อนกว่าวัย ไม่ได้ดูแค่ส่วนกรามเท่านั้น ยังต้องประเมินทั้ง 4 ส่วนประกอบกัน ได้แก่ หน้าผาก โหนกแก้ม กราม และคาง ดังนั้นวิธีฉีดโบท็อกซ์กรามเพียงอย่างเดียว สามารถทำให้คนคนหนึ่ง มีใบหน้าเด็กลงได้ก็ต่อเมื่อ มีปัญหากล้ามเนื้อกรามใหญ่อย่างเดียวโดยที่ส่วนอื่นดีอยู่แล้ว เช่น มีรูปหน้าผากโด่งโค้งมน ไม่แบน ไม่กว้างเกินไป ผิวหน้าผากไม่มีริ้วรอยย่น มีโหนกแก้ม เนื้อเต็มสมบูรณ์ ไม่สูง ไม่ยื่น ไม่มีร่องแก้ม มีรูปคางที่เรียวเล็กอยู่แล้ว เป็นต้น
โบท็อกซ์ลดกราม ฉีดกี่ยูนิต
การฉีดโบท็อกซ์ลดกราม โดยปกติจะใช้ปริมาณยูนิตไม่เท่ากันทุกคน ขึ้นอยู่กับลักษณะกล้ามเนื้อกรามว่าหนาใหญ่แค่ไหน แต่จะใช้ตั้งแต่ 50 – 100 ยูนิต ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีแบบไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณให้มากเกินไปกว่านี้
โบท็อกซ์ลดกราม ฉีดกี่ครั้งถึงได้ผลดีสุด
โบท็อกซ์ลดกราม จะมีอายุประมาณ 6-8 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ หากต้องการคงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดไว้ตลอด แนะนำให้ฉีดทุกๆ 6 เดือน หรือปีละ 1 ครั้ง ขึ้นอยู่กับงบค่าใช้จ่ายของแต่ละคน
บทความแนะนำ : 20 คำถามสุดฮอต ที่คนฉีดโบท็อกมือใหม่ ถามมากที่สุดแห่งปี 2024
ผลลัพธ์จากการฉีดโบท็อกซ์ลดกราม
การฉีดโบท็อกซ์กราม ควรฉีดกับหมอที่มีประสบการณ์ด้านนี้โดยเฉพาะ หรือศัลยแพทย์โครงหน้าที่รู้จักกล้ามเนื้อทุกจุดบนใบหน้าเป็นอย่างดี เพราะจะเลือกใช้โบท็อกซ์แท้ คำนวณปริมาณโบท็อกซ์ได้เหมาะกับระดับปัญหา และฉีดตรงตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ ปลอดภัย ไม่เสี่ยงเจอปัญหาตามมา หรือต้องกลับไปฉีดซ้ำเพราะไม่ได้ผลในครั้งแรก หรือหากใครยังมองภาพไม่ออกว่า ผลลัพธ์ที่ดี-ไม่ดี เป็นอย่างไร ดูได้จากตารางด้านล่าง ดังนี้
ผลลัพธ์ที่ดี
- เห็นผลการเปลี่ยนแปลงหลังฉีดทันที และจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นใน 2 – 3 เดือน
- กรามเล็กลงเท่ากันทั้ง 2 ข้าง
- กล้ามเนื้อนิ่มลง กัดฟันแล้วกล้ามเนื้อกรามไม่เด้ง
- สลายออกได้เองหมด 100% ไม่มีสารตกค้าง
ผลลัพธ์ที่ผิดพลาด
- มุมปากเบี้ยว ยิ้มไม่สุด
- ใบหน้าไม่เท่ากัน กล้ามเนื้อยุบลงไม่หมด
- กรามยังใหญ่เท่าเดิม
- เกิดก้อนปูดขณะเคี้ยวอาหาร
ฉีดโบท็อกซ์ลดกราม ไม่เห็นผล เกิดจากอะไร
- แพทย์ไม่มีประสบการณ์มากพอ
เช่น เลือกปริมาณยูนิตน้อยเกินไป ฉีดตื้นเกินจนทำให้ยากระจายตัว ก็ทำให้กล้ามเนื้อยุบลงไม่หมด กรามลดไม่เท่ากัน
- ฉีดโบท็อกซ์ปลอม
หรือโบท็อกซ์หิ้ว ที่มักไม่มีมาตรฐานในการคุมประสิทธิภาพของตัวยา จึงทำให้ฉีดแล้วเหมือนไม่ได้ฉีด หรือได้ผลแค่ข้างใดข้างหนึ่ง
- ผสมน้ำเกลือในตัวยามากเกินไป
เพราะโบท็อกซ์แท้ จะเป็นผลึกแห้ง ก่อนฉีดต้องใส่น้ำเกลือลงไปเพื่อละลายตัวยา แต่หากใส่มากเกินไปตัวยาจะจาง ฉีดแล้วไม่ได้ผล
- มีภาวะดื้อโบท็อกซ์
ที่เกิดจากการฉีดโบท็อกซ์ถี่เกินไป ฉีดในปริมาณมากเกินไป และฉีดโบท็อกซ์ที่มีความบริสุทธิ์น้อย มีโปรตีนที่ไม่จำเป็นเยอะก็จะทำให้ร่างกายดื้อยาได้ ฉีดยังไงก็ไม่เห็นผล
- คนไข้มีปัญหาอื่นร่วมด้วย
เช่น มีไขมันที่แก้มและเหนียงเยอะ หรือมีกระดูกกรามใหญ่ อาจต้องใช้หัตถการอื่นร่วมด้วย เช่น เมโสแฟตลดไขมันแก้ม หรือต้องศัลยกรรมผ่าตัดกระดูกกราม
โบท็อกซ์ลดกราม มีกี่ยี่ห้อ
ในปัจจุบันโบท็อกซ์แท้ที่ผ่าน อย.ไทย มีทั้งหมด 8 ยี่ห้อ ได้แก่ Allergan, XEOMIN ,Dysport, NABOTA, Aestox, HUGEL, CLODEW และBTXA ซึ่งทุกยี่ห้อสามารถลดกล้ามเนื้่อกรามได้ทั้งหมด แต่แพทย์ที่เชี่ยวชาญมักจะแนะนำยี่ห้อที่ตัวยามีความบริสุทธิ์สูง เพราะลดโอกาสดื้อโบท็อกซ์ คนไข้เติมได้บ่อยโดยที่ไม่ลดทอนผลลัพธ์ และการกระจายตัวยาแคบที่สุด เพื่อคาดคะเนการออกฤทธิ์ของตัวยาได้อย่างแม่นยำ ซึ่งมักจะอยู่ในโบท็อกซ์สัญชาติอเมริกา Allergan หรือโบท็อกซ์เกาหลี Hugel Toxin ทั้งสองยี่ห้อมีความบริสุทธิ์ใกล้เคียงกันคือ 99.5%
ราคาโบท็อกซ์ลดกราม ประมาณเท่าไหร่
ราคาโบท็อกซ์แต่ละยี่ห้อไม่เท่ากัน ถ้าเป็นของเกาหลี ราคาก็จะจับต้องได้ง่ายกว่าของฝั่งอเมริกา หรือเยอรมัน ดังนั้นค่าบริการโบท็อกซ์กราม จะถูกจะแพงก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและปริมาณยูนิตที่ใช้ควบคู่กัน แต่เฉลี่ยแล้วจะมีราคาดังนี้
ราคา 3,500 -12,000 บาท / 50 ยูนิต
ราคา 8,500 – 28,000 บาท / 100 ยูนิต
ราคา 15,000- 35,000 บาท / 200 ยูนิต
สรุป โบท็อกซ์ลดกราม ให้หน้าเรียวดูเด็กลง เหมาะกับใครมากที่สุด
สำหรับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อกรามใหญ่ กล้ามเนื้อกรามหนา ต้องการลดขนาดส่วนล่างของใบหน้า เหมาะเป็นอย่างยิ่งกับการฉีดโบท็อกซ์ลดกราม เพราะจะทำให้ใบหน้าเรียวเล็กลงซึ่งทำให้ดูเด็กกว่าวัยได้ในระดับหนึ่ง แต่หากต้องการให้หน้าอ่อนกว่าวัยแบบสมบูรณ์แบบ จำเป็นต้องย้อนอายุผิว กำจัดริ้วรอยแห่งวัยร่วมด้วย ซึ่งสามารถทำโบท็อกซ์ริ้วรอยที่ทำได้หลายที่ เช่น หน้าผาก รอยตีนกา ริ้วรอยใต้ตา รอยย่นสันจมูกเป็นต้น และโบท็อกซ์ลดกราม หรือโบท็อกซ์ริ้วรอย สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ หรือประมาณ 20 ปีเป็นต้นไป โดยไม่ต้องรอให้อายุเยอะแล้วถึงจะฉีด เพื่อช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้อีกด้วย
สำหรับคนที่สนใจโปรโมชั่น หรือข้อมูลหัตถการต่างๆ สามารถแอดไลน์ @gangnamclinic และช่องทาง Facebook เพื่อสอบถามโปรโมชั่นเพิ่มเติม และสามารถเข้ามาปรึกษาหมอฟรี ที่ กังนัมคลินิกใกล้บ้านคุณ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย