แผลเป็นนั้นคือร่องรอยที่หลงเหลือจากบาดแผลในอดีต บางครั้งแผลเป็นก็มีขนาดเล็กจนไม่มีใครสังเกต แต่บางทีแผลเป็นก็มีขนาดใหญ่และเด่นชัดมาก ๆ เหมือนกัน แผลคีลอยด์ (Keloid Scar) คือแผลเป็นชนิดหนึ่งที่มีลักษณะโดดเด่น มีความนูนขึ้นมาจากผิวและยังมีสีที่เข้มชัดเจน อาจสร้างความไม่สบายใจให้กับใครหลาย ๆ คน
ไม่ว่าใครก็ตามที่เคยหรือไม่เคยมีแผลคีลอยด์บนร่างกายก็อาจจะอยากรู้ว่าแผลคีลอยด์นี้สามารถป้องกันได้จริงไหมนะ? แล้วมีวิธีการป้องกันได้อย่างไรบ้าง? วันนี้เราจึงขอรวบรวมข้อปฏิบัติง่าย ๆ ที่จะสามารถลดโอกาสการเกิดแผลคีลอยด์ในอนาคตสำหรับทุกคน
แผลคีลอยด์ คืออะไร
แผลคีลอยด์ (Keloid Scar) คือแผลเป็นชนิดหนึ่งที่แตกต่างจากแผลเป็นชนิดทั่วไปอื่น ๆ คือ มีลักษณะนูนสูงขึ้นมาจากผิวหนังและสามารถขยายตัวออกนอกบริเวณแผลเดิมจึงมีขนาดที่ใหญ่เป็นพิเศษ โดยถ้าหากปล่อยทิ้งไว้จะยังสามารถขยายตัวได้เรื่อย ๆ นอกจากนี้เองยังสามารถทำให้รู้สึกคัน ระคายเคือง หรือเจ็บแปลบ ๆ ที่บริเวณแผลได้เช่นกัน
สาเหตุของการเกิดแผลคีลอยด์
ก่อนที่จะเข้าใจแนวทางการป้องกันการเปิดแผลคีลอยด์ล่วงหน้า ควรทำความเข้าใจก่อนถึงสาเหตุของการเกิดแผลชนิดคีลอยด์ สาเหตุหลักของการเกิดแผลคีลอยด์คือการทำงานที่ผิดปกติไปของกระบวนการซ่อมแซมบาดแผล (Wound Healing) โดยปกติแล้วกระบวนการนี้จะมีขั้นตอนการทำงานด้วยกัน 3 ขั้นตอนตามลำดับดังนี้ ขั้นตอนการหยุดเลือด (Hemostasis Phase), ขั้นตอนการอักเสบ (Inflammatory Phase), กลไกการสร้างเนื้อเยื่อทดแทน (Proliferative Phase), และ กลไกการปรับสมดุลโครงสร้างของแผล (Remodelling Phase) โดยต้นเหตุของคีลอยด์คือความผิดปกติของขั้นตอนที่ 3 หรือกลไกการสร้างเนื้อเยื่อทดแทนที่ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อและสะสมคอลลาเจนมากจนเกินไป จึงทำให้ผิวหนังบริเวณแผลเป็นมีลักษณะบวมนูนและขยายใหญ่ขึ้นมานั่นเอง
บทความแนะนำ : แผลเป็นคีลอยด์รักษาได้จริงไหม? รวบรวมทุกวิธีการรักษาคีลอยด์ ตั้งแต่การทายาไปจนถึงการฉีด
ลักษณะและอาการของคีลอยด์
เพื่อที่จะเตรียมการป้องกันและรักษาแผลคีลอยด์ สามารถสังเกตแผลได้ด้วยวิธีดังนี้ว่าเป็นแผลคีลอยด์หรือไม่
- เป็นแผลที่มีลักษณะนูนขึ้นมาเหนือผิวหนัง
- อยู่ที่บริเวณใบหู ติ่งหู หัวไหล่ หน้าอก
- มีอาการระคายเคือง เจ็บแปลบ ๆ หรือคัน
ปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดแผลคีลอยด์
ใครที่เป็นบุคคลดังกล่าวอาจมีแนวโน้มการเกิดคีลอยด์มากกว่าคนอื่น ๆ ดังนั้นควรที่จะให้ความสนใจกับการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการเกิดแผลคีลอยด์เป็นพิเศษ
- บุคคลเชื้อชาติเอเชีย หรือแอฟริกา ที่มีสีผิวเข้ม
- บุคคลที่ครอบครัวมักเป็นแผลคีลอยด์ง่าย
- บุคคลที่เคยมีคีลอยด์ตั้งแต่วัยเด็ก
- ถ้าหากมีแผลที่บริเวณหู หัวไหล่ หน้าอก หลัง (ส่วนบน) แผลเหล่านั้นจะมีความเสี่ยงเป็นคีลอยด์มากเป็นพิเศษ
สามารถป้องกันการเกิดคีลอยด์ได้อย่างไรบ้าง
ถึงแม้ปัจจุบันจะมีแนวทางการรักษาคีลอยด์ที่มากมาย ตั้งแต่การทายา ไปจนถึงการผ่าตัดออก อย่างไรก็ตามการป้องกันไม่ให้เกิดแผลคีลอยด์ตั้งแต่ต้นจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดเนื่องจากแผลคีลอยด์ในบางกรณีจะรักษาหรือกำจัดได้ยากกว่ากรณีทั่วไป และอาจนำมาสู่ค่ารักษาที่สูงเช่นกัน
โดยสามารถป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงการเกิดแผลและการดูแลแผลอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันการทำงานผิดปกติของกระบวนการซ่อมแซมบาดแผล ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
- การรักษาความสะอาด ควรทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือ
- การป้องกันการติดเชื้อและอักเสบ ควรปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ ควรซับแผลให้แห้งและไม่ชื้น
- งดสัมผัสแผล งดเกา งดแกะแผล เพราะอาจรบกวนกระบวนการซ่อมแซมบาดแผลได้
- การดูแลแผลหลังแผลแห้ง แนะนำให้ใช้เจลซิลิโคน (Silicone Gel) เพิ่มหลังบาดแผลแห้งดีแล้ว
- การรับประทานอาหาร ลดการรับประทานอาหารประเภทน้ำตาล แอลกอฮอล์ คาเฟอีน ไนเตรด เช่น เนื้อแดง
สามารถรักษาให้หายได้ไหม
กรณีที่เริ่มพบแผลคีลอยด์บนร่างกายแล้ว สามารถใช้แนวทางการรักษาได้ โดยแนะนำให้เข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาและประเมินวิธีการรักษาแผลคีลอยด์ที่เหมาะสมกับลักษณะของแผลมากเพื่อการันตีผลลัพธ์ที่ชัดเจนและน่าพึงพอใจมากที่สุด
รวมวิธีการรักษาคีลอยด์
รักษาคีลอยด์ด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์
แพทย์จะฉีดยาสเตียรอยด์ที่บริเวณแผลโดยตรงเพื่อลดอาการเจ็บ อาการอักเสบ และให้ผิวยุบลง ทั้งนี้การฉีดยาเพื่อรักษาคีลอยด์จำเป็นต้องฉีดซ้ำเพื่อให้เห็นผลที่ชัดเจนโดยจำนวนการฉีดจะขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของแผล
รักษาคีลอยด์ด้วยการเลเซอร์
เพราะการเลเซอร์เป็นแนวทางที่มีความปลอดภัยจึงทำให้ได้รับความนิยมเช่นเดียวกับการฉีดสเตียรอยด์ โดยจะยิงเลเซอร์คลื่นพลังงานสูงเพื่อกำจัดเนื้อเยื่อส่วนเกินออกไป ทั้งนี้อาจต้องมีการเลเซอร์ซ้ำขึ้นอยู่กับแผล
รักษาคีลอยด์ด้วยผ้ายืดที่ตัดเพื่อกดรัดบาดแผล
ในกรณีที่แผลมีลักษณะนูนสูงขึ้นมามาก หรือมีลักษณะที่การฉีดยาหรือเลเซอร์ไม่เพียงพอต่อการรักษา จะเหมาะสมกับการผ่าตัด โดยจะเป็นการตัดแผลออกบางส่วนหรือทั้งหมด
รักษาคีลอยด์ด้วยผ้ายืดที่ตัดเพื่อกดรัดบาดแผล
หลังจากที่ได้รับการผ่าตัดในระยะแรก สามารถใช้ Pressure Garment Therapy หรือ ผ้ายืดที่ตัดเพื่อกดรัดบาดแผล เพื่อป้องกันไม่ให้แผลนูนซ้ำหลังการผ่าตัดได้เช่นกัน
สรุปอยากป้องกันไม่ให้เป็นแผลคีลอยด์ ต้องทำอะไรบ้าง?
แผลคีลอยด์คือแผลที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของกระบวนการซ่อมแซมบาดแผลที่ผลิตเนื้อเยื่อและสะสมเส้นใยคอลลาเจนมากกว่าปกติ ดังนั้น วิธีการป้องกันคีลอยด์คือการดูแลบาดแผลที่เกิดขึ้นบนร่างกายเพื่อเลี่ยงอาการอักเสบซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการทำงานผิดปกติของกระบวนการซ่อมแซมบาดแผล ด้วยวิธีการทำแผลที่ถูกต้อง รักษาความสะอาด ไม่สัมผัสแผล และการดูแลแผลหลังแห้งด้วยเจลซิลิโคน