ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร? ฉีดฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี? ไม่อยากให้หน้าดูแข็งและเป็นอันตรายหลังฉีดควรรู้

     การฉีดฟิลเลอร์เป็นหนึ่งในหัตถการที่หลายคนนิยมทำกันในปัจจุบัน เพราะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างเห็นผล หลังจากฉีดฟิลเลอร์แล้วเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ในทันที ทำให้ใบหน้ากลับมาดูสดใส และอ่อนเยาว์อีกครั้ง 

     จนทำให้หลายท่านสงสัยว่าการฉีดฟิลเลอร์ควรฉีดยี่ห้อไหนดี ฟิลเลอร์ 1 CC เหมาะกับการฉีดจุดไหนบ้าง ฟิลเลอร์ 1 CC เพียงพอต่อการเติมเต็ม ปรับรูปหน้าได้ไหม หรือ เราควรฉีดฟิลเลอร์กี่ CC 

     โดยในบทความนี้จะตอบทุกคำถามเกี่ยวกับฟิลเลอร์ว่าควรเลือกยี่ห้อไหน ฟิลเลอร์ 1 CC เหมาะกับการฉีดจุดไหน ฟิลเลอร์ 1 CC เพียงพอต่อการปรับรูปหน้าหรือไม่ หรือ ต้องใช้ฟิลเลอร์กี่ CC 

ฟิลเลอร์คืออะไร?

     ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มผิวที่นิยมเรียกกันว่า ไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือเรียกสั้นๆว่า “HA” กระบวนการของสารตัวนี้สามารถเติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังและใต้ผิวหนัง และทดแทนคอลลาเจนและไฮยาลูรอนที่ร่างกายสูญเสียไปเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้น การฉีดสาร Hyaluronic Acid จะช่วยลดและแก้ไขปัญหาผิวหนัง บริเวณต่างๆ ของใบหน้า ให้กลับมาดูอ่อนเยาว์ กระชับ เปล่งปลั่ง เรียบเนียน รวมถึงช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ 

ฟิลเลอร์ช่วยอะไรบ้าง?

     กลไกการออกฤทธิ์ของกรดไฮยาลูโลนิค (Hyaluronic Acid) หรือ HA คือการที่สารไปจับตัวกับน้ำในชั้นผิวหนังแล้วเกิดการคงรูปของฟิลเลอร์ การฉีดสาร Hyaluronic Acid เข้าสู่ผิวจะช่วยทำให้บริเวณที่เป็นร่องลึกดูตื้นขึ้น ดูอ่อนเยาว์ลง และปรับรูปหน้าให้ดูได้สัดส่วนมากขึ้น นอกจากนี้ คุณสมบัติสำคัญของฟิลเลอร์ คือ มีความคงตัว จึงสามารถใช้ฉีดเสริมจมูก เสริมคาง ช่วยให้ผิวกักเก็บความชุ่มชื้นได้ถึงผิวชั้นใน ช่วยปรับสภาพผิว ให้รูขุมขนเล็กลง ผิวมีความยืดหยุ่น และนุ่มนวลขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

ฟิลเลอร์อันตรายไหม?

     ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มที่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ บนใบหน้าได้หลากหลาย สำหรับในประเทศไทยฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐานอย.ไทย มีเพียงชนิดเดียว คือ สารไฮยารูโลนิค (Hyaluronic Acid) ที่มีความปลอดภัยสูง สามารถสลายได้เอง ถ้าใช้ฟิลเลอร์แท้ที่เป็นสาร Hyaluronic Acid 100% ฉีดด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง โดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และคลินิกที่มีมาตรฐาน ก็จะมีความปลอดภัยสูง แต่หากใช้สารอื่นฉีดแทนฟิลเลอร์ เช่น ซิลิโคนเหลว ฟิลเลอร์ปลอม รวมถึงหมอปลอม ก็อาจเป็นอันตรายได้ ดังนั้นก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ควรเลือกฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐานผ่านอย. ฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และคลินิกที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง

ฟิลเลอร์มีกี่ประเภท?

ฟิลเลอร์มีอยู่ 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่

  • ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว (Temporary filler) สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ อยู่ได้นาน 4-6 เดือน มีความปลอดภัยสูง
  • ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi Permanent filler) อยู่ได้นาน 2 ปี มีความปลอดภัยในระดับปานกลาง
  • ฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent filler) เป็นประเภทสารเติมเต็มซิลิโคน หรือพาราฟิน สามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ อาจมีผลข้างเคียงได้ในระยะยาว

ฟิลเลอร์มียี่ห้ออะไรบ้าง? ยี่ห้อไหนดี? ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้ออยู่ได้นานแค่ไหน?

ปัจจุบันในประเทศไทยมีการนำเข้าฟิลเลอร์หลายยี่ห้อจากหลายประเทศ ทั้งฝั่งอเมริกา ยุโรป และเอเชีย โดยยี่ห้อที่นิยมใช้ในประเทศไทยได้แก่ 

  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane จากประเทศสวีเดน นำเข้าโดยบริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อสารเติมเต็มกลุ่มไฮยารูโลนิค (Hyaluronic Acid) จากประเทศสวีเดน ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากแพทย์ทั่วโลก และผ่านการรับรองจาก FDA ระยะเวลาการคงผลลัพธ์ เฉลี่ยอยู่ที่ 6-18 เดือน

  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm เป็นฟิลเลอร์กลุ่มสารไฮยารูโลนิค (Hyaluronic Acid) ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจาก US FDA  และ อย.ประเทศไทย นำเข้าจากประเทศอเมริกา โดยบริษัท แอลเลอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด ระยะเวลาการคงผลลัพธ์โดยเฉลี่ยอยู่ได้นาน 8-24 เดือน

  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis จากประเทศเกาหลี นำเข้าโดยบริษัท เมดิเซเลส จำกัด เป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในเรื่องของคุณภาพที่มาพร้อมกับราคาย่อมเยา เข้าถึงได้ง่าย ระยะเวลาการคงผลลัพธ์ เฉลี่ยอยู่ที่ 6-12 เดือน

ฟิลเลอร์ฉีดตรงไหนได้บ้าง?

  • ขมับ เติมเต็มใบหน้าให้สวย อ่อนเยาว์ ดูมีมิติ
  • Midface คืนความอ่อนเยาว์ ใบหน้าโดยรวมดูเด็กลง อิ่มเอิบขึ้นทันที
  • แก้ม แก้มตอบ ใบหน้าเล็กลง ไขมันแก้มลดลง
  • ใต้ตา ลดปัญหารอยดำ ร่องลึก ถุงใต้ตาเรียบตึงขึ้น
  • ริมฝีปาก เติมเต็มร่องปากให้ดูอวบอิ่ม ยกมุมปากให้เป็นทรงสวย
  • คาง ปรับรูปหน้า ใบหน้าเรียวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ กรอบหน้าคมชัด เหนียง, คาง 2 ชั้นลดลง

วิธีเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ให้เหมาะกับจุดต่างๆบนใบหน้า แต่ละจุดควรฉีดฟิลเลอร์กี่ CC?

     การเลือกยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์มาฉีดให้คนไข้ แพทย์จะต้องพิจารณาหลายองค์ประกอบ นอกจากคุณสมบัติฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นแล้ว ยังต้องพิจารณาเลือกใช้ฟิลเลอร์ให้เหมาะกับตำแหน่งที่ฉีดด้วย แต่ละตำแหน่ง แต่ละปัญหา จำเป็นต้องใช้เนื้อฟิลเลอร์ที่ต่างกัน หรือใช้ฟิลเลอร์ 1-2 ชนิด เช่น การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ใช้ฟิลเลอร์เนื้อแข็งฉีดเพื่อทดแทนการยุบตัวของกระดูกในผิวชั้นลึก และใช้ฟิลเลอร์เนื้อละเอียดฉีดเพื่อเก็บรายละเอียด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น  รวมถึงต้องพิจารณาสภาพผิวของคนไข้ เช่น คนที่มีผิวบาง ผิวแห้ง ต้องเลือกฟิลเลอร์ที่มีการกระจายตัวได้ดี หลังฉีดจะได้ไม่เห็นเป็นก้อน และเรียบเนียนไปกับผิว เป็นต้น

การเลือกยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ในแต่ละตำแหน่ง

ฟิลเลอร์ใต้ตา

     ควรฉีดยี่ห้อ Restylane Vital Light เนื่องจากลักษณะโมเลกุลมีความนุ่มสูง เหมาะที่จะใช้ในการเติมใต้ตาจะทำให้ใต้ตาไม่แข็ง ไม่เป็นก้อน เนียนละมุนเป็นธรรมชาติ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-2 CC โดยพิจารณาจากความลึกของบริเวณใต้ตา

ฟิลเลอร์ขมับ

ควรฉีดยี่ห้อ Juvederm Voluma เนื่องจากลักษณะโมเลกุลมีความคงตัว จึงเหมาะที่จะนำมาเติมบริเวณที่มีความแข็ง ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-4 CC โดยพิจารณาจากความลึกของขมับ

ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

     ควรฉีดยี่ห้อ Juvederm Ultra Plus เนื่องจากลักษณะโมเลกุลมีความนุ่ม ฟู สามารถเติมเต็มร่องต่างๆ ได้ดี ซึ่งจะทำให้ใบหน้าเต็มอิ่มมากยิ่งขึ้น โดยปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-4 CC

ฟิลเลอร์แก้มส้ม

     ควรฉีดยี่ห้อ Juvederm Ultra Plus เนื่องจากลักษณะโมเลกุลมีความนุ่ม ฟู สามารถเติมเต็มแก้มให้อิ่มเต็มขึ้น จะช่วยแก้ปัญหาแก้มตอบ หรือใบหน้าไม่มีมิติได้ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 2-4 CC โดยพิจารณาจากความแบนของแก้ม ฉีดฟิลเลอร์ร่องน้ำหมาก ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ประมาณ 1-2 CC โดยพิจารณาจากความลึกบริเวณร่องน้ำหมาก

ฟิลเลอร์ปาก

     ควรฉีดยี่ห้อ Restylane Vital Light เนื่องจากลักษณะโมเลกุลมีความนุ่มมาก เหมาะที่จะใช้เติมปากให้อิ่มสวย ได้รูปทรงที่ต้องการ จะทำให้ปากไม่ดูแข็ง ไม่เป็นก้อน อวบอิ่มกำลังดี ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-2 CC โดยพิจารณาจากรูปปากเดิม และรูปทรงที่ต้องการ เช่น หากต้องการได้ทรงมุมปากยกขึ้น เติมแค่ปากบน ใช้เพียง 1 CC หรือหากต้องการเพิ่มวอลลุ่มให้ปากอวบอิ่มอาจใช้ถึง 2 CC แต่หากมีเนื้อปากเดิมอยู่แล้ว อาจใช้เพียง 1 CC ก็เพียงพอ

ฟิลเลอร์คาง

     ควรฉีดยี่ห้อ Juvederm Voluma เนื่องจากลักษณะโมเลกุลมีความคงตัว สามารถปั้นคางให้เป็นทรงต่างๆ ตามความเหมาะสมได้ จึงเหมาะที่จะนำมาเติมบริเวณที่แข็งๆ โดยปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้อยู่ที่ 1-2 CC ขึ้นอยู่กับรูปคางเดิม และทรงที่ต้องการ

ฟิลเลอร์ 1 CC เยอะไหม? ฉีดอะไรได้บ้าง?

     โดยปกติแล้ว ฟิลเลอร์ 1 กล่อง จะมีปริมาณ 1 CC ฟิลเลอร์ 1 CC จะใช้ฉีดในจุดที่ไม่ต้องเติมเต็มมาก ได้แก่ ฟิลเลอร์ปาก, ฟิลเลอร์คาง ถัดมาจะเป็นฟิลเลอร์ใต้ตา, ฟิลเลอร์ร่องแก้ม, ฟิลเลอร์แก้มส้ม ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการฉีดฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับบริเวณที่จะฉีด โดยส่วนมากใช้ฟิลเลอร์ 1-2 CC ก็เพียงพอแล้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาใบหน้า รวมถึงความพึงพอใจของแต่ละบุคคลด้วย

     ตามปกติแล้วฟิลเลอร์ 1 CC สามารถอยู่ได้นานถึง 6-24 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ และรุ่นฟิลเลอร์ที่เลือก เพราะการเลือกฟิลเลอร์แต่ละชนิดขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ต้องการจะฉีด นอกจากนี้ยังรวมไปถึงพฤติกรรมการดูแลตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์ และสภาพร่างกายของแต่บุคคลด้วย ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกเนื้อฟิลเลอร์ให้เหมาะสมเพื่อผลลัพธ์ที่ดี

ฟิลเลอร์ปลอมคืออะไร?

    ปัจจุบันมีการนำสารต่าง ๆ ถูกทำขึ้นมาเพื่อใช้เลียนแบบฟิลเลอร์ HA เช่น ซิลิโคนเหลว ไบโอพลาสติก พาราฟิน ซึ่งสารเหล่านี้ถือว่าเป็นฟิลเลอร์ปลอม อย่างเช่น ซิลิโคนเหลว เป็นสารโพลิเมอร์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตสิ่งของที่ทำมาจากพลาสติก หากฉีดเข้าไปในร่างกาย แล้วมีการตกค้างเป็นก้อนอยู่ในชั้นผิว ไม่สลายหายไปเองตามธรรมชาติ ต่างจากฟิลเลอร์แท้ที่ผลิตมาจากสารไฮยารูโลนิค (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารที่มีโครงสร้างเหมือนกับไฮยาลูรอนที่มีอยู่ในร่างกาย จึงสามารถสลายสารนี้ได้เองตามธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ปลอมฉีดแล้วอันตรายไหม?

     ฟิลเลอร์ปลอมอันตรายมาก เพราะฟิลเลอร์ปลอมไม่สามารถสลายไปได้เอง จะทิ้งสารตกค้างอยู่ในชั้นผิวของเรา ทำให้ในบริเวณที่ฉีดมีปัญหา โดยอาการจะยังไม่เริ่มออกทันทีแต่จะแสดงให้เห็นเมื่อผ่านไปสักพักหลังฉีด โดยส่วนมากมักมีอาการดังนี้

  • ฟิลเลอร์ไหล รวมตัวกันเป็นก้อนแข็ง
  • ทำให้ผิวหนัง และใบหน้าผิดรูป
  • เกิดอาการอักเสบ ผิวบวมแดง และติดเชื้อเป็นหนอง
  • ทำให้เกิดเนื้อตายในบริเวณที่ฉีด ต้องตัดทิ้งเท่านั้น
  • เกิดพังผืดจำนวนมากใต้ชั้นผิว
  • ตาบอดได้จากการที่ฟิลเลอร์ปลอมไปอุดตันเส้นเลือด

วิธีเช็คฟิลเลอร์แท้?

     ก่อนฉีดฟิลเลอร์ นอกจากต้องดูกว่าจะเลือกฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี รุ่นไหนเหมาะสมแล้ว ต้องมั่นใจว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ที่มีความปลอดภัย โดยศึกษาวิธีดูฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อ จุดสังเกตต่าง ๆ และขอตรวจสอบกล่องก่อนฉีดทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นกล่องใหม่ ตรวจสอบกับบริษัทนำเข้าได้

วิธีเช็คฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Restylane

  • มีรอยปรุสำหรับเปิดกล่อง
  • มีเลขทะเบียนอย. และมีเอกสารกำกับภาษาไทยอยู่ภายในกล่อง
  • มีสติกเกอร์ โมโนแกรม คำว่า “VOID”

เลข lot. ตรงกัน 2 จุดคือ

  •  เลข lot. ที่ข้างกล่อง
  • เลข lot. ที่หลอด

สแกน QR CODE ด้วยแอปพลิเคชัน Eztracker เพื่อตรวจสอบยาแท้

วิธีเช็คฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Juvederm

  • กล่องต้องปิดผนึกเรียบร้อย ที่กล่องมีรอยปรุที่ต้องทำการฉีกออกก่อน จึงจะสามารถเปิดกล่องได้
  • มีสติ๊กเกอร์ โฮโลแกรมสีทอง Restylane แปะอยู่มุมขวาของกล่อง
  • มีคำว่า GALDERMA ชื่อบริษัทผู้นำเข้าฟิลเลอร์ เขียนอยู่บนตัวกล่อง
  • มีราคา และวันหมดอายุระบุชัดเจน
  • มีป้ายภาษาไทยที่ข้างกล่อง และภายในกล่องมีเอกสารกำกับเป็นภาษาไทยบรรจุอยู่
  • มีเลขล็อตสินค้า (Lot Serial No.) ติดอยู่ โดยที่ระบุตรงกันทั้ง 2 จุด คือ ที่ข้างกล่อง และที่หลอด

วิธีเช็คฟิลเลอร์แท้ยี่ห้อ Neuramis

  • มีเลข Lot วันเดือนปีที่ผลิต และวันหมดอายุของฟิลเลอร์ตรงกัน 2 จุดคือ
  • เลข Lot บนกล่องฟิลเลอร์
  • เลข Lot บนหลอดฟิลเลอร์
  • มี QR Code ให้สแกนเพื่อตรวจสอบฟิลเลอร์ โดยจะขึ้นข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ทั้งรูป ชื่อรุ่น วันเดือนปีที่ผลิต วันหมดอายุ บริษัทผู้ผลิต ซึ่งจะต้องตรงกับข้อมูลที่อยู่บนกล่อง
  • มีฉลากกำกับเป็นภาษาไทยพร้อมเลขจดทะเบียนอย.ไทยอยู่บนกล่อง
  • หลอดฟิลเลอร์จะถูกปิดไว้ด้วยจุกสีเทา
  • ภายในกล่องมีเอกสารเกี่ยวกับฟิลเลอร์เป็นภาษาไทย และมีเลขทะเบียนอย.

ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม?

การฉีดฟิลเลอร์จะมีความเจ็บ แต่อยู่ในระดับที่ทนไหว แต่สำหรับใครที่กลัวเจ็บ หรือรู้สึกกังวล ก็สามารถให้คุณหมอทายาชาเฉพาะที่ เพื่อลดความเจ็บปวดลง หรือเลือกฉีดฟิลเลอร์รุ่นที่มียาชาเป็นส่วนผสมก็ได้

ฉีดฟิลเลอร์กี่วันเห็นผล?

การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่เหมาะกับคนที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้น โดยหลังจากฉีดฟิลเลอร์แล้ว สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ทันที อาจมีอาการบวมเล็กน้อยประมาณ 3-5 วัน และสามารถเห็นผลได้ชัดเจนภายใน 2-3 สัปดาห์

ข้อควรระวังก่อนฉีดฟิลเลอร์

  • ศึกษาข้อมูล ทั้งคลินิก คุณหมอ การเลือกยี่ห้อและชนิดฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงศึกษาวิธีการเช็คฟิลเลอร์แท้ เพื่อความมั่นใจและความปลอดภัย
  • ควรงดใช้ยาแก้ปวด ยาแอสไพริน
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อน 24 ชม.
  • งดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น การซาวน่า หรือ ออกกำลังกาย

อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์

  • อาการบวมและฟกช้ำ
    หลังฉีดฟิลเลอร์แล้วอาจจะมีอาการบวมแดง อาจจะมีอาการบวมแดง เขียวช้ำ หรือคันได้ในจุดที่ทำเป็นปกติ ให้หลีกเลี่ยงการแตะ เกา หรือกดนวดในจุดนั้นๆ โดยอาการต่างๆจะค่อยๆดีขึ้นภายใน 2-3 วัน
  • รอยแดง
    ผิวหนังตรงบริเวณที่ฉีดจะเป็นรอยแดงอยู่ประมาณ 2-3 วันหลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว

  • ก้อนฟิลเลอร์
    บางครั้งเมื่อสัมผัสผิวตรงที่ฉีดฟิลเลอร์ อาจจะพบว่ามีการจับตัวกันเป็นก้อน สามารถกดนวดให้ก้อนหายไปได้ หรือฉีดสลายฟิลเลอร์ออกได้

  • อาการแพ้
    เป็นอาการที่พบได้ยากมาก ไม่ได้เกิดขึ้นได้บ่อยนัก สำหรับคนที่มีอาการแพ้ฟิลเลอร์ จะเกิดรอยแดง คัน และบวมร่วมด้วย

ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมช้ำ ทำอย่างไร?

     โดยปกติแล้วอาการบวมช้ำต่างๆจะค่อยๆดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หากรู้สึกบวมแดง สามารถประคบเย็นอย่างเบามือได้ หากมีการบวมแบบผิดปกติเกิน 2 สัปดาห์ อาจหมายถึงมีการติดเชื้อ การอักเสบ หรือ การแพ้ฟิลเลอร์ หากคนไข้มีอาการดังกล่าว ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษาทันที โดยการรักษามีหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการทานยาฆ่าเชื้อ การฉีดสลายออก (ในกรณีทีเป็นฟิลเลอร์แท้) ด้วยสารไฮยาลูโรนิเดส

หลังฉีดฟิลเลอร์ควรดูแลตัวเองอย่างไร? ห้ามทำอะไรบ้าง?

  • ไม่ควรจับ ลูบคลำ นวดบริเวณที่ฉีด เพราะอาจส่งผลต่อการกระจายตัวของยา
  • งดการดื่มแอลกอฮอล์ 7 วัน เพราะจะทำให้เส้นเลือดขยายตัวและทำให้รอยเข็มหายช้าลง
  • งดแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • งดการออกกำลังกายหนักๆ รวมถึงการให้ใบหน้าโดนความร้อนโดยตรงเช่น การอบซาวน่า, แช่น้ำอุ่น การนวดหน้าด้วยความร้อน เป็นเวลา 2 สัปดาห์
  • ควรดื่มน้ำเปล่าให้มากกว่าปกติ จะช่วยให้ฟิลเลอร์อิ่มฟูและอยู่ได้นานมากขึ้น โดยเฉพาะใน 3 วันแรกไปจนถึง 2 สัปดาห์หลังฉีด เพราะการดื่มน้ำ คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นาน

สรุปเลือกฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี?

     ก่อนการตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ควรพิจารณาองค์ประกอบต่างๆหลายอย่างเพื่อให้เกิดความมั่นใจและความปลอดภัย เพราะฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่มีความละเอียดอ่อน โดยจะต้องเป็นฟิลเลอร์แท้ ฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ภายใต้คลินิกที่ได้มาตรฐาน ไม่ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์จากราคาถูกมาก ๆ และอย่าหลงเชื่อคำโฆษณาเกินจริง หากเลือกสถานพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือแพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญ ก็อาจทำให้ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ไม่ตรงกับความต้องการ และอาจเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากการฉีดฟิลเลอร์ได้

Scroll to Top