ฟิลเลอร์เป็นหัตถการในปัจจุบันที่คนนิยมฉีดเพื่อเสริมความงาม แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยฉีดอาจมีคำถามและความกังวลในความปลอดภัย และผลลัพธ์ว่ามีประสิทธิภาพมาก-น้อยคุ้มค่ากับผลข้างเคียงแค่ไหน บทความนี้จะมาให้ข้อมูลการฉีดฟิลเลอร์ ว่าช่วยเรื่องใดได้บ้าง เหมาะกับใคร พร้อมวิธีเตรียมตัวก่อน-หลังทำ เพื่อให้ศึกษาอย่างละเอียด เพิ่มความมั่นใจในการเลือกแก้ปัญหาบนใบหน้าด้วยฟิลเลอร์ได้อย่างมั่นใจ
สามารถเลือกอ่านบทความที่น่าสนใจได้ดังต่อไปนี้
ฟิลเลอร์ คืออะไร?
การฉีดฟิลเลอร์ คือ การฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic acid หรือ HA ซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่มี ความปลอดภัยสูงเข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังเพื่อเติมเต็มผิวหนังเพื่อให้ผิวหนังดูเต่งตึงขึ้นนอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์ แท้จะช่วยเติมเต็มผิวที่ยุบไปเพราะการทำงานที่เสื่อมสภาพของคอลลาเจน หรือเนื่องจากคอลลาเจนในส่วนนั้น หยุดทำงาน ให้กลับมาอวบอิ่ม อีกครั้ง ซึ่งฟิลเลอร์เปรียบเสมือนโปรตีนสำคัญของผิวที่ทำหน้าที่คล้ายกับสปริง ของผิวหนัง เมื่อสปริงไม่เด้งผิวหนังก็จะยุบตัวลง จึงเป็นที่มาของ ริ้วรอย ความเหี่ยวย่น ความชราของผิวพรรณ นั่นเอง
หลักการทำงานของฟิลเลอร์
เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไปที่ชั้นผิวหนัง ตัวฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มในโครงสร้างผิวที่เป็นริ้วรอยหรือร่องที่ขาดความเต่งตึง ทำให้ผิวยืดหยุ่น กระชับ ดูสุขภาพดี ชุ่มชื้น และอวบอิ่มขึ้น
ฟิลเลอร์ เหมาะกับฉีดจุดไหนได้บ้าง? ใช้ปริมาณเท่าไหร่?
ฟิลเลอร์สามารถใช้ฉีดเติมเต็มสัดส่วนได้หลายจุด แก้ปัญหาได้หลายแบบ ช่วยให้เกิดความสวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ บริเวณที่นิยมใช้ฟิลเลอร์ ได้แก่
ฟิลเลอร์ใต้ตา
ฟิลเลอร์สามารถใช้ฉีดใต้ตาเพื่อกลบร่องลึก ตีนกา หรือความหมองคล้ำได้ โดยจะใช้ปริมาณข้างละประมาณ 1 – 3 CC หากใช้เพื่อปรับรูปตาจากความหย่อนคล้อยก็จะใช้ปริมาณที่มากกว่าการฉีดลดความหมองคล้ำ
อ่านเพิ่มเติม ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ ตาลึก หน้าดูโทรม ให้กลับมาสดใสและดูอ่อนเยาว์
ฟิลเลอร์จมูก
ฟิลเลอร์ยังสามารถนำมาฉีดเพื่อเพิ่มความโด่งให้จมูกได้ด้วย แต่ควรมั่นใจว่าฟิลเลอร์เป็นของแท้และฉีดโดยแพทย์เท่านั้น เพราะอาศัยความชำนาญในการคำนวณปริมาณและความเหมาะสมในการฉีด โดยปกติจะใช้ประมาณ 1 CC เท่านั้น
ฟิลเลอร์ปาก
เทรนด์บิวตี้ปัจจุบันจะนิยมให้มีรูปปากที่ดูอวบอิ่ม เนื้อแน่น ปากเป็นรูปกระจับ ซึ่งฟิลเลอร์สามารถปรับรูปปากได้ตามต้องการโดยไม่ต้องทำศัลยกรรม ช่วยแก้ปัญหาร่องปากลึก ปากแห้งเป็นขุย ให้ดูชุ่มชื้นอิ่มน้ำได้อีกด้วย เลือกใช้เพียง 1 – 2 CC ตามวอลุ่มหรือรูปปากที่ชอบได้
อ่านเพิ่มเติม การฉีดฟิลเลอร์ปาก คืออะไร? รวมเรื่องต้องพิจารณาก่อนฉีดปากให้สวยได้ทรงที่ต้องการ
ฟิลเลอร์ร่องแก้ม
ร่องแก้มเป็นสัญญาณความหย่อนคล้อยของผิวที่มาพร้อมวัยที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแก้มตอบ เกิดรอยเป็นเส้นลึกที่หน้าแก้ม ทำให้ดูโทรม ไม่สดใส ฟิลเลอร์เองก็สามารถฉีดที่บริเวณนี้เพื่อแก้ปัญหาได้เช่นกัน โดยจะใข้ปริมาณ 1 – 3 CC แล้วแต่ความลึกของร่องแก้มแต่ละคน
ฟิลเลอร์หน้าผาก
หน้าผากเป็นตำแหน่งสำคัญในการเสริมโหงวเฮ้ง หน้าผากที่แบนหรือยุบตัวลงยังส่งผลต่อมิติของใบหน้าที่ไม่สมดุล หากเลือกฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก 1 – 2 CC ก็สามารถปรับให้ดูดีขึ้นได้ แต่หากเป็นคนที่หน้าผากแบนมากๆ สามารถเพิ่มปริมาณในการฉีดได้อีกแต่ไม่ควรเกิน 5 CC เพราะเสี่ยงหน้าบวมนั่นเอง
ฟิลเลอร์ขมับ
ขมับตอบก็เป็นปัญหาที่ทำให้รูปหน้าดูดุ สูงวัย การเลือกฉีดฟิลเลอร์ขมับจะสามารถเติมเต็มให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ลงได้ โดยปกติจะใช้ปริมาณ 1 – 2 CC ก็เพียงพอในการแก้ปัญหาได้
ฟิลเลอร์คาง
สำหรับคนที่ต้องการได้รูปคางที่เป็น V-Shape แต่ไม่ต้องการทำศัลยกรรม ฟิลเลอร์คางสามารถใช้ฉีดเพื่อปรับรูปหน้าได้ ซึ่งจะใช้ในประมาณ 1 – 2 CC
อ่านเพิ่มเติม ฉีดฟิลเลอร์คาง อันตรายไหม? รวมข้อควรรู้ Filler คางอย่างไรให้สวยเป็นธรรมชาติ
ใครบ้างที่ควรฉีดฟิลเลอร์?
- คนที่ผิวขาดความชุ่มชื้น
- คนที่ผิวดูเหี่ยวย่น ขาดความเต่งตึง
- คนที่มีริ้วรอย ร่องลึก แล้วตัองการให้กระชับขึ้น
- คนที่สัดส่วนผอมเฉพาะจุด ดูซูบ โทรม อยากเพิ่มความอวบอิ่ม
- คนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูสวยงาม สมมาตรขึ้น
- คนที่อยากคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวกลับมาดูเด็ก
ฉีดฟิลเลอร์ ทำให้เกิดอันตรายกับร่างกายไหม?
ฟิลเลอร์ที่ผ่านมาตรฐานการรับรองจากอย. และเป็นของแท้มีความปลอดภัยสูง เพราะตัวฟิลเลอร์เองเป็นสารประเภทไฮยาลูรอนิคซึ่งเข้ากับร่างกายได้ดี ผลข้างเคียงในการแพ้น้อย และยิ่งมั่นใจได้หากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพราะจะรู้ตำแหน่งของเส้นเลือดและเส้นประสาทบนใบหน้าทำให้ฉีดได้ตรงจุดนั่นเอง
ฉีดฟิลเลอร์ เจ็บมากไหม?
ความเจ็บในการฉีดฟิลเลอร์จะรู้สึกแบบเดียวกับการโดนเข็มจิ้ม แต่ในตัวฟิลเลอร์เองมักมียาชาผสมอยู่แล้วซึ่งช่วยลดอาการเจ็บ คนกลัวเข็มก็สามารถฉีดได้ ไม่น่ากังวลอย่างที่คิด
หลังฉีดฟิลเลอร์ ห้ามตากแดดและโดนความร้อนจริงไหม?
ในช่วงแรกๆ หลังฉีดฟิลเลอร์มาหากทำกิจกรรมที่โดนความร้อนโดยตรง มีความเสี่ยงที่ทำให้ฟิลเลอร์เปลี่ยนรูปและสลายตัว แต่ตามปกติแล้วหากไม่ได้โดนความร้อนต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินไปก็ไม่ส่งผลให้ฟิลเลอร์ละลาย เช่น หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า หรือการทำเลเซอร์ที่ทำให้เกิดความร้อนบนใบหน้าหรือบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เว้นแต่ในคนที่ฉีดฟิลเลอร์ปากและมีการกินอาหารร้อนๆ เป็นประจำ ก็อาจจะมีส่วนทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็วขึ้นได้
ฉีดฟิลเลอร์กี่ครั้งถึงเห็นผล?
หลังฉีดฟิลเลอร์ 1 ครั้งจะเห็นผลลัพธ์ได้เลย แต่ตัวฟิลเลอร์จะไม่ได้คงสภาพอยู่อย่างถาวร จะคงอยู่ประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและปริมาณในการฉีด ควบคู่กับการดูแลรักษาหลังฉีดด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นฟิลเลอร์จะสลายตัวไปเองตามธรรมชาติ
ฉีดฟิลเลอร์ VS ฉีดไขมัน ข้อดีและข้อจำกัด มีอะไรบ้าง
ฉีดฟิลเลอร์
เป็นการฉีดสารเติมเต็มที่สกัดมาจากธรรมชาติที่มีความปลอดภัยเข้าสู่ร่างกายใบนิเวณที่ต้องการใหเดูอิ่มฟูขึ้น หรือเติมเต็มในตำแห่งที่มีการยุบตัวของกล้ามเนื้อหรือไขมันที่มาจากกระบวนการของร่างการ
ข้อดี
- เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการทำ
- สามารถคงสภาพได้นาน (ขึ้นอยู่กับอายุของฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น)
- ไม่ใช้การผ่าตัดดันั้นจึงไม่ต้องพักฟื้น
- สามารถปั้นให้ได้รูปทรงตามที่เราต้องการ
- ใช้เวลาในการฉีดไม่นาน
- มีความเรียบเนียบไม่เป็นคลื่น
ข้อจำกัด
- ต้องเลือกทำกับคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เท่านั้น
- ต้องเลือกใชฟิลเลอร์ของแท้เท่านั้น
ฉีดไขมัน
เป็นการใช้ไขมันที่ดูดออกมาจากส่วนใจส่วนหนึ่งของร่างการเพื่อฉีดเข้าไปเติมเต็มในจุดที่ต้องการ ซึ่งการฉีดไขมันของตัวเองเป็นวิธีมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นการเติมเต็มที่ไม่ใช้สิ่งแปลกปลอม เข้าสู่ร่างกาย
ข้อดี
- ไขมันเป็นส่วนประก่อบของร่างกายทำให้ร่างกายไม่ต่อต้าน
- ให้ความเป็นธรรมชาติ
- ไขมันที่ใช้เป็นไขมันตัวเองจึงไม่สามารถมีของปลอมได้
ข้อจำกัด
- สามารถยุบตัวได้ไวกว่าการฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากระบบการเผาผลาญของร่างกาย
- หากแพทย์ขาดความเชี่ยวชาญอาจทำให้ไขมันเป็นคลื่นได้
- ไม่สามารถ Control การยุบตัวของไขมันได้ ทำให้อาจจะต้องมาฉีดซ้ำหลายรอบ
- -ให้ความรู้สึกเจ็บหลังทำ และต้องมีเวลาพักฟื้น
ทำไมฉีดฟิลเลอร์แล้วหน้าดูแข็ง เพราะอะไร?
การฉีดฟิลเลอร์แล้วหน้าดูแข็งอาจมีหลายสาเหตุ เช่น
- การฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากเกินไป
- แพทย์ขาดความชำนาญทำให้ฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง เช่น การฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งที่ตื้นเกินไป
- การใช้ฟิลเลอร์ผิดประเภท เนื่องจากฟิลเลอร์มีหลายประเภท หลายรุ่น หลายยี่ห้อ ดังนั้นจึงควรเลือกใช้ฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการฉีด
- การใช้ฟิลเลอร์ของปลอมอาจทำให้ฟิลเลอร์จับตัวกันเป็นก้อนแข็งๆได้
ฉีดฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี? แต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นต่างกันอย่างไร?
ฟิลเลอร์อาจจะมีมากมายหลายยี่ห้อ แต่ฟิลเลอร์ที่กังนัมคลินิกเลือกใช้จะมี ยี่ห้อหลักดังนี้
1. Restylane (สวีเดน)
ฟิลเลอร์ Restylane เป็นฟิลเลอร์ที่สามารถเลือกใช้ ได้หลากหลาย และเหมาะกับความต้องการ และ ปัญหาผิวหน้าของคนไข้ในแต่ละจุด สามารถนำมาฉีดได้ หลายบริเวณ เช่น ใต้ตา ร่องแก่ม เติมเต็มริ้วรอยต่างๆ ทั้งร่องลึก ร่องตื้น
2. Juvederm (อเมริกา)
ฟิลเลอร์ Juvederm เป็นบริษัทเดียวกับผู้ผลิตโบท็อกอเมริกา Allergan ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการยอมรับ จากทั่วโลกว่ามีคุณภาพและความปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยี Hylacross ที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์ทนต่อการขยับ เพราะมีความยืดหยุนสูง และเก็บกักน้ำได้ดี เหมาะกับการฉีด ร่องลึก และเทคโนโลยี Vycross ที่มีการยึดเกาะของโมเลกุลสูง ทำให้มีความเรียบเนียนและดูเป็นธรรมชาติ
3. Belotero (สวิตเซอร์แลนด์)
ฟิลเลอร์ Belotero มีทั้งฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติเนื้อแข็ง ที่เหมาะสำหรับจุดที่ต้องการความอยู่ทรง ทนทาน และฟิลเลอร์เนื้อนิ่มที่เหมาะกับการฉีดจุดที่ต้องการความยืดหยุ่นมีการขยับบ่อยๆ
4. Perfectha (ฝรั่งเศส)
Perfectha เป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับการยอมรับและมีการจัดจำหน่ายมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ด้วยนวัตกรรม E-Brid Technology ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความหนืดให้กับฟิลเลอร์ทำให้ดูเป็นธรรมชาติ สามารถคงตัวได้ดี แต่กลับมีโครงสร้างแข็งแรง ให้ตัวฟิลเลอร์คงอยู่ได้ยาวนาน
เลือกรุ่นฟิลเลอร์ยังไง? ให้ผลลัพธ์หลังฉีดออกมาเป็นธรรมชาติ
การเลือกฉีดฟิลเลอร์ให้ดูเป็นธรรมชาติควรเลือกฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับบริเวณที่จะฉีด เช่น บริเวณที่ต้อง ขยับบ่อยๆ ควรใช้ฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติในการยืดหยุ่นสูง และ เลือกฟิลเลอร์ที่มีคุณสมบัติเนื้อแข็งในจุดที่ต้อง การความคงตัวสูง เพื่อความเป็นธรรมชาติ
ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน?
ฟิลเลอร์แต่ละรุ่นจะมีระยะเวลาของผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งฟิลเลอร์ที่ได้มาตารฐาน และ ผ่านการรับรอง จะสามารถอยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับปริมาณของ HA และ เทคโนโลยีการผลิตของฟิลเลอร์แต่ละตัว หลังจากนั้นจะสลายไปเองโดยไม่ทิ้งสารตกค้างให้กับร่ายกาย เช่น
Restylane (สวีเดน)
- Restylane Vital light อยู่ได้ 6-12 เดือน
- Restylane Perlane lyft อยู่ได้ 12 เดือน
- Restylane Volyme อยู่ได้ 18 เดือน
- Restylane Defyne อยู่ได้ 18 เดือน
- Restylane Refyne อยู่ได้ 12 เดือน
- Restylane Classic อยู่ได้ 12 เดือน
Juvederm (อเมริกา)
- Juvederm Ultra Plus อยู่ได้ 12 เดือน
- Juvederm Volift อยู่ได้ 12 เดือน
- Juvederm Volite อยู่ได้ 8-12 เดือน
- Juvederm Volbella อยู่ได้ 12 เดือน
- Juvederm Voluma อยู่ได้ 18 เดือน
Belotero (สวิตเซอร์แลนด์)
- Belotero Intense อยู่ได้ 18 เดือน
- Belotero Volume อยู่ได้ 18 เดือน
Perfectha (ฝรั่งเศส)
- Perfectha Subskin อยู่ได้ 12 เดือน
วิธีดูและสังเกตฟิลเลอร์แท้และของปลอม
เบื้องต้นควรเช็กว่าตัวกล่องฟิลเลอร์ถูกซีลมาอย่างดี และดูเลข Lot ของกล่องและหลอดฟิลเลอร์ให้ตรงกัน รวมทั้งต้องมีเครื่องหมายรับรองอย.ที่ถูกต้อง เอกสารภาษาไทย ซึ่งคลินิกที่ดีจะแสดงขวดฟิลเลอร์ให้คนไข้ดูก่อนฉีดเสมอ โดยมีจุดสังเกตดังนี้
- ฟิลเลอร์แท้ต้องมีฉลากภาษาไทยติดอยู่บนกล่อง ฟิลเลอร์ปลอมไม่มีภาษาไทยระบุ
- ฟิลเลอร์ของแท้ต้องมีราคาระบุและมีวันหมดอายุระบุอยู่ข้างกล่อง
- ฟิลเลอร์แท้ต้องมีเลขทะเบียน อย. และเอกสารกำกับเป็นภาษาไทย
- ฟิลเลอร์แท้ต้องมีสติ๊กเกอร์โฮโลแกรมซึ่งเป็นสติ๊กเกอร์ที่สะท้องแสงป้องกันการลอกเรียนแบบ
- ฟิลเลอร์แท้ต้องมีรอยปรุสำหรับเปิดกล่อง
- ฟิลเลอร์แท้กล่องจะต้องถูกซีลมาอย่างดี
- ฟิลเลอร์แท้จะสามารถโทรเช็คเลข Lot ได้กับบริษัทจะหน่ายได้
- ฟิลเลอร์แท้ไม่มีขายตามอินเตอร์เนตอย่างแน่นอน
ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ควรเลือกยี่ห้อและเลือกคลินิกที่ฉีดให้ดีเพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่น่าพอใจ นอกจากนี้ก็ควรเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ด้วยเช่นกัน มีข้อควรระวังดังนี้
- งดยาแอสไพริน อาหารเสริมประเภทวิตามิน และผลิตภัณฑ์ที่กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว 1 สัปดาห์ก่อนทำ
- งดทำเลเซอร์ผิวหน้า หรือนวดหน้าก่อนฉีดฟิลเลอร์ 3 วัน
- งดการออกกำลังกายหนัก หรือกิจกรรมที่ต้องเจอความร้อนสูง
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนฉีดฟิลเลอร์
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง?
- แพทย์ทำการประเมินปัญหาของคนไข้ที่ต้องการแก้ไขและเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ และคำนวณปริมาณที่ใช้ในการฉีด
- ทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะทำการฉีดฟิลเลอร์
- ควรเช็กฟิลเลอร์ก่อนทำการฉีดว่าเป็นของแท้
- แพทย์ทำการแปะยาชาลดความเจ็บให้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ (สำหรับฟิลเลอร์รุ่นที่ไม่มียาชาผสม)
- ทำการฉีดฟิลเลอร์ตามตำแหน่งที่แจ้งไว้
- แพทย์ให้คำแนะนำการดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ พร้อมนัดติดตามผลหลังทำ
หลังฉีดฟิลเลอร์ควรดูแลอย่างไรบ้าง?
- หลังฉีดฟิลเลอร์ 3 ชั่วโมงแรกควรเลี่ยงไม่ให้แผลโดนน้ำเป็นเวลานานเกินไป
- นอนหมอนสูงให้ศีรษะอยู่เหนือหน้าอกและพยายามนอนราบ เพื่อเลี่ยงการเสียรูปของฟิลเลอร์
- งดสัมผัสบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ด้วยความรุนแรงเลี่ยงการเสียรูปของฟิลเลอร์
- เลี่ยงการโดนแดดและความร้อนในช่วง 2 วันแรกหลังทำ
- คอยประคบเย็นตามคำแนะนำที่ได้จากแพทย์
- งดอาหารเสริม ยาแอสไพริน และแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัว อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- งดการทำเลเซอร์ผิว การกำจัดขน หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดการระคายเคืองผิว
- ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์อุ้มน้ำได้ดีขึ้น
เลือกฉีดฟิลเลอร์ กับคลินิกที่ไหนดี?
- ต้องฉีดกับคลินิกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้บริการ
- คลินิกต้องมีชื่อเสียงและต้องได้รับการรับรองมาตารฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- ฟิลเลอร์ที่ใช้ต้องเป็นของแท้เท่านั้น
- คลินิกต้องสามารถเปิดเผยข้อมูลของตัวยาได้
- สามารถปรึกษากับแพทย์ก่อนตัดสินใจได้
- ต้องไม่เลือกฉีดกับหมอกระเป๋า เนื่องจากอาจมีปัญหาอีกมากมานตามมา
ฟิลเลอร์หมดฤทธิ์แล้วต้องฉีดสลายมั้ย?
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานเมื่อเวลาผ่านไปฟิลเลอร์จะหมดฤทธิ์และสลายตัวไปตามธรรมชาติ ไม่มีสารตกค้างอยู่ในร่างกายจึงไม่ต้องทำการฉีดสลายหรือขูดออก แต่เคสที่ต้องฉีดสลายมักเกิดในคนที่ได้รับฟิลเลอร์ปลอมแล้วไม่สลายตัวจนเกิดการแพ้ เนื้อตาย หรือเกิดการเปลี่ยนของสัดส่วนใบหน้า จึงต้องทำการเอาออก
ผลข้างเคียงของการฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง?
โดยปกติหลังฉีดฟิลเลอร์จะเกิดรอยเข็ม หรือรอยแดงหลังทำเป็นปกติประมาณ 2 – 3 วัน ร่วมกับอาการบวมประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ ซึ่งหากดูแลรักษาดีๆ ก็จะยิ่งหายได้ไว ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วขึ้นได้
ฉีดฟิลเลอร์แล้วต้องขูดออกหรือไม่?
การฉีดฟิลเลอร์หากได้รับการฉีดฟิลเลอร์จากผู้เชี่ยวชาญ และ เป็นฟิลเลอร์ของแท้ที่ผ่านมาตรฐานการรับรอง ความปลอดภัยแล้ว ไม่จำเป็นต้องขูดออก เพราะตัวฟิลเลอร์จะสามารถย่อยสลายได้เองโดยเอนไซม์ ทำให้ฟิลเลอร์สลายออกไปได้หมดโดยไม่เหลือตกค้างที่ร่างกาย
ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม?
กาฉีดฟิลเลอร์อาจจะมีอาการเจ็บอยู่บ้าง ซึ่งเป็นความเจ็บที่สามารถทนได้ แต่โดยปกติแล้วหากคนไข้ มีความกังวล ก่อนการฉีดฟิลเลอร์สามารถขอฉีดยาชาหรือการทายาชาเพื่อลดความเจ็บในขณะทำได้ค่ะ แต่โดยทั่วไปแล้วไม่เจ็บอย่างที่จิตนาการไว้แน่นอนไม่ต้องกังวลไปค่ะ
รีวิวฉีดฟิลเลอร์
รวมรีวิวการฉีดฟิลเลอร์แท้โดยคุณหมอผู้เชี่ยวชาญที่กังนัมคลินิก จะเห็นได้ว่าหลังการฉีดฟิลเลอร์แล้ว จะมีความเป็นธรรมชาติมาก ใบหน้าดูสดใส และดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยฟิลเลอร์ที่กังนัมคลินิกเลือกใช้ จะมีหลายตัวด้วยกันเพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาของคนไข้ได้อย่างตรงจุด และเป็นฟิลเลอร์ที่เราเชื่อว่า มีคุณภาพดีที่สุด
ฉีดฟิลเลอร์ แต่ละจุดราคาเท่าไหร่?
ราคาของการฉีดฟิลเลอร์ของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ ปัญหาและปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้ โดยคุณหมอจะเป็นผู้ประเมินแบบเคสต่อเคส ซึ่งราคาการฉีดฟิลเลอร์ที่กังนัมคลินิกมีดังนี้
- ฟิลเลอร์หน้าผาก เริ่มต้น 25,869 บาท
- ฟิลเลอร์ขมับ เริ่มต้น 17,246 บาท
- ฟิลเลอร์ใต้ตา เริ่มต้น 17,246 บาท
- ฟิลเลอร์แก้มลูกส้ม เริ่มต้น 10,662 บาท
- ฟิลเลอร์จมูก เริ่มต้น 17,246 บาท
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม เริ่มต้น 8,623 บาท
- ฟิลเลอร์ริมฝีปาก เริ่มต้น 8,623 บาท
- ฟิลเลอร์คาง เริ่มต้น 8,623 บาท
สรุป
อย่างที่ได้เกริ่นไปตลอดทั้งบทความนี้ ว่าการฉีดฟิลเลอร์มีความปลอดภัยสูง ไม่น่ากังวลเมื่อเลือกฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และยังเป็นหัตถการที่ช่วยแก้ปัญหาได้หลากหลายโดยไม่ต้องทำศัลยกรรมที่จะเกิดผลลัพธ์ถาวร ฟิลเลอร์ของแท้ จะเป็นสารเติมเต็มที่ผลิตมาจาก Hyaluronic acid หรือ HA ซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ เพื่อใช้เติมเต็มในส่วนที่ผิวหนังยุบลงไป หรือ ในส่วนที่มีริ้วรอย ร่องลึกต่างๆบนในหน้า ปรับรูปหน้าให้สวย สดใส และอ่อนเยาว์อย่างเห็นได้ชัด โดยไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายใดๆกับร่งกาย แต่ต้องเป็นฟิลเลอร์แท้ที่ฉีดกับหมอแท้เท่านั้นนะคะ ขอย้ำ!! เพราะเกิดหลวมตัวไปฉีดฟิลเลอร์ปลอมกับหมอกระเป๋าแล้วล่ะก็ อาจมีปัญหาให้แกไขกันอีกยาวแน่ๆ