กังนัมคลินิก เป็นคลินิกที่ให้บริการแบบมาตรฐานเกาหลี
ปกเว็ป-02
”แพทย์กังนัมคลินิก“ เทรนนิ่งเทคนิกการฉีด เพื่อสิ่งที่ดีที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า
previous arrowprevious arrow
next arrownext arrow

ฉีดเมโสหน้าใส คืออะไร ? เหมาะกับใคร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง กี่ครั้งเห็นผล

ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า “เมโส (Meso) หน้าใส” กันมาบ้าง บริการฉีดเมโสหน้าใส หรือที่เรียกว่า “Mesotherapy” คือการฉีดวิตามินและสารสกัดที่มีประโยชน์เข้าสู่ผิวโดยตรง เพื่อช่วยในการปรับปรุงคุณภาพผิวหน้า อาทิ ช่วยในเรื่องเพิ่มความกระจ่างใส ลดรอยดำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และลดการอักเสบของผิว

ในปัจจุบันผู้คนหลากหลายให้ความสนใจกับหัตถการเมโสเป็นอย่างสูง เพราะตัวยามีมากมายหลายสูตรและสามารถตอบสนองปัญหาผิวได้อย่างครบถ้วนรวมถึงให้ผลชัดเจนกว่าการใช้คอลลาเจนแบบทาและแบบรับประทานมากในบทความนี้ เราจะมารู้จักบริการ “เมโสหน้าใส” กันอย่างถี่ถ้วนว่า เมโสหน้าใสนี้คืออะไร ? เหมาะกับใคร ช่วยอะไรบ้างและความถี่ในการทำนั้น กี่ครั้งจึงจะเห็นผล

สารบัญ ฉีดเมโสหน้าใส

เมโสหน้าใสคืออะไร

เมโสหน้าใส หรือที่เรียกว่า “Mesotherapy” เทคนิคนี้ถูกคิดค้นโดย Michel Pistor แพทย์ชาวฝรั่งเศสในปี 1952 และได้รับการพัฒนามาเรื่อยๆ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในด้านเวชศาสตร์ความงาม

เมโส (Meso) คือหัตถการดูแลบำรุงผิวหน้าด้วยการฉีดวิตามินและสารสกัดต่างๆเข้าสู่ผิวของเราโดยตรง มักจะฉีดเข้าชั้นผิวหนังชั้นกลาง (เรียกว่าชั้น Meso) นิยมใช้ตัวยาที่มีผล ต่อการสร้างอิลาสตินบนผิว ซึ่งถือเป็นทางลัดในการบำรุงใบหน้า เนื่องด้วยเห็นผลไวมากกว่าการใช้ครีมบำรุงใบหน้า โดยปกติแล้วนั้นการใช้ครีมบำรุงใบหน้า มักจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงประมาณ 1-3 เดือน แต่การทำ “เมโสหน้าใส” ตัวยาออกฤทธิ์ไว สามารถเห็นผลได้เร็วถึง 1 สัปดาห์หลังฉีดทันที

เมโสหน้าใสช่วยในเรื่องอะไร

วิตามินและสารสกัดที่ฉีดเข้าไปเป็นสารที่เข้าไปบำรุงเป็นประโยชน์ต่อผิว แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เมโสหน้าใสจะประกอบไปด้วย Vitamin A B C E, Transamin, Glutatione, Collagen และสารสกัดจากพืช ทั้งช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส ลดรอยดำ เพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยลดการอักเสบของผิว และช่วยทำให้ใบหน้าเรียบเนียนสม่ำเสมอ เป็นต้น

ปกติแล้ว ทั่วไปคนเราจะมีลักษณะผิวที่แต่ต่างกัน ทั้งนี้จะต้องอยู่ในการประเมินของคุณหมอเพื่อทราบว่าแต่ละบุคคลเหมาะกับการฉีดวิตามินและตัวยาตัวไหนเข้าไป เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและตอบโจทย์ปัญหา

  • ฟื้นฟูผิวจากสารพิษ เช่น ภาวะผื่นแพ้ สิว
  • ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดการเกิดเม็ดสีเมลานินทำให้สีผิวสม่ำเสมอ
  • กระตุ้นให้ผิวมีความชุ่มชื้น แข็งแรง สุขภาพดี
  • ลดฝ้า กระ แก้ปัญหารูขุมขนกว้าง
  • เสริมสร้างคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว

ปัญหาผิวที่ต้องรักษาด้วย มาเด้ คอลลาเจน

มาเด้ คอลลาจน (MADE Collagen) คือ ยี่ห้อของสารเมโสหน้าใสจากประเทศอิตาลี ซึ่งใช้หลักการแบบโฮมีโอพาธีย์ (HOMEOPATHY) ซึ่งเด่นมากในเรื่องของการดีท็อซ์ผิวและปรับสมดุลผิวลึกถึงระดับเซลล์ เร่งการขับสารพิษ ให้สารอาหารและรักษาเซลล์ช่วยฟื้นฟูสุขภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น

ปัญหาผิวที่ต้องรักษาด้วย มาเด้ คอลลาจน (MADE Collagen) ส่วนมากจะเหมาะกับผิวที่มีปัญหาผื่น , สิวเรื้อรัง ,  ฝ้าเลือด , ฝ้าฮอร์โมน ริ้วรอย จุดด่างดำต่างๆ ซึ่งมักมีสาเหตุจากมลภาวะหรือสารพิษที่ตกค้างในผิว

ปัญหาผิวกับการรักษาด้วยมาเด้ คอลลาเจน ควบคู่กับการทำเมโส

มาเด้ คอลลาจน (MADE Collagen) และ “เมโส(Meso)หน้าใส” มีความคล้ายคลึงกันค่อนข้างมาก เพราะตัวมาเด้ คอลลาเจน มีจุดเด่นในเรื่องของการดีท็อกซ์ผิวและขจัดสารพิษ แต่ตัว เมโสหน้าใส มีคุณสมบัติทำให้ผิวกระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอกัน

ปัญหาผิวของบุคคลที่ควรรักษาด้วยมาเด้ คอลลาเจน ควบคู่กับการทำเมโส คือบุคคลที่มีปัญหาสิวและผดผื่น หน้าไม่เรียบเนียน มีรอยดำและรอยแดงจากการเป็นสิว การรักษาด้วยวิธีควบคู่ดังกล่าวจะให้ผลลัพธ์ที่ไวกว่า เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิว ให้สุขภาพดี ผิวแข็งแรงขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น

เมโสหน้าใสมีอันตรายหรือไม่

เมโสหน้าใส เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยเป็นอย่างมาก เพราะตัวยาเมโสที่ถูฉีดเข้าไปบนชั้นผิวหนังนั้น เป็นตัวยาที่เต็มไปด้วยสารสกัดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยส่วนใหญ่เป็นจำพวก Vitamin A B C E, Transamin, Glutatione, Collagen และสารสกัดจากพืช

ตัวยาเมโสของแท้จะต้องถูกตรวจสอบและถูกรับรองจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้วว่าปลอดภัยสามารถนำมาใช้ในด้านเวชศาสตร์ความงามได้ และด้วยข้อบังคับทางกฎหมายยา ตัวยาเมโสของแท้จะต้องมีบริษัทนำเข้ามาอย่างถูกต้องจะขายให้กับแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น ตัวยาเมโสหน้าใสที่ขายตามอินเทอร์เน็ตจะเป็นยาหิ้วและไม่ปลอดภัย

เมโสหน้าใส vs สกินบูสเตอร์ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

สกินบูสเตอร์ (Skin Booster) เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เป็นหัตถการที่ทำแล้วช่วยฟื้นฟูและกระตุ้นเซลล์ผิว ช่วยฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้น ผิวเงาฉ่ำวาว แก้ปัญหาผิวแห้ง แต่งหน้าไม่ติด มีผดผื่น เมื่อฉีดอย่างต่อเนื่องจะทำให้ผิวแข็งแรง กระจ่างใสขึ้นและช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต

เมโสหน้าใส และ สกินบูสเตอร์ มีความเหมือนกัน คือ ช่วยในเรื่องของการเพิ่มความแข็งแรงให้สุขภาพผิวหน้า ช่วยลดปัญหาผิวอ่อนแอ สิวขึ้นง่าย หน้าหมองคล้ำ ไม่มีออร่า แต่ตัวสกินบูสเตอร์จะเป็นตัวยาที่มีความเข้มข้นกว่ามาก ซึ่งควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนรับบริการ และควรเลือกจากปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข สภาพผิว และดูจากความต้องการเพราะแต่ละยี่ห้อก็จะมีส่วนผสมและการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน

เมโสหน้าใส ยี่ห้อไหนดี

เมโสหน้าใสช่วยจัดการปัญหาผิวหน้าได้อย่างหลากหลาย ทั้งรูขุมขนกว้าง รอยสิว ฝ้า กระ หรือรักษาสิว เรียกได้ว่าช่วยจัดการปัญหาผิวหน้าอย่างครอบคลุม ในที่นี้จะอธิบายเฉพาะตัวยาที่ทาง Gangnam Clinic เลือกใช้ซึ่งตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวของคนไข้ และที่สำคัญต้องผ่านการประเมินจากแพทย์ผู้ชำนาญการ

มาเด้คอลลาเจน (MADE Collagen)

สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของผิวอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ช่วยลดเลือนริ้วรอย รักษาสิวให้หายขาด และแก้ปัญหาผื่นแดงรวมถึงอาการแพ้เรื้อรัง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว ผดผื่น รอยดำ รอยแดง ผิวแพ้ง่าย แนะนำฉีดเว้นห่างกัน 1 เดือนเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ไซโตแคร์ (Cytocare)

ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเร่งการผลัดเซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพไปตามวัย เสริมสร้างผิวให้แข็งแรง รักษารอยแผล ลดเลือนริ้วรอย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอย ผิวหมองคล้ำแห้งกร้าน เห็นผลลัพธ์ภายใน 5-7 วัน หลังทำหัตถการ นิยมใช้บริเวณใบหน้า ใต้ตา และร่องแก้ม

รีจูรัน (Rejuran)

สามารถกระตุ้นและฟื้นฟูความแข็งแรงของผิวจากภายใน ทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์ และช่วยปรับสภาพผิวให้สดใส พร้อมทั้งกระชับรูขุมขน ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้กับใบหน้า เป็นสารสกัดเข้มข้น Polynucleotide (PN) และสารสกัดจากชิ้นส่วน DNA จากปลาแซลมอน เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีอายุ 20 ปีปลาย ๆ  ที่เริ่มประสบปัญหาผิวแห้งกร้าน ต้องการผิวหน้าเต่งตึง

อัลฟ่า อาร์บูติน (Alpha arbutin)

ปรับสภาพผิวให้กระจ่างใส เน้นลดฝ้า จุดด่างดำโดยตรง ช่วยทำให้สีผิวดูสม่ำเสมอกันทั่วทั้งใบหน้า เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ ต้องการปรับผิวกระจ่างใสแบบเร่งด่วน

เทคนิคการฉีดแบบใช้เข็ม vs Vital injector แบบไหนดีกว่ากัน?

ปัจจุบันจะเห็นว่าแต่ละคลินิกมีวิธีการฉีดและเทคนิคต่างกัน เช่น แบบใช้เครื่องยิง (Vital injector) และแบบการฉีดด้วยมือ เพราะผิวหน้าแต่ละคนมีความแตกต่างกันจึงต้องให้แพทย์ผู้ชำนาญการประเมินก่อนทุกครั้ง ซึ่งแต่ละเทคนิคมีจุดเด่นที่แตกต่างกันดังนี้

ฉีดแบบใช้เข็ม

  • เน้นตรงจุดที่มีปัญหาได้ เช่น หลุมสิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ
  • กำหนดปริมาณยา ความถี่ ความลึกได้ดี
  • โอกาสเกิดรอยช้ำน้อย

ฉีดแบบใช้เครื่องยิง (Vital injector)

  • ตัวยากระจายเท่ากันทั้งหน้า
  • เน้นงานผิวฉ่ำวาว อิ่มฟู ลดรูขุมขน
  • รวดเร็ว แม่นยำ เจ็บน้อย

การดูแลตัวเองหลังการฉีดเมโสหน้าใส

หลังจากการฉีดเมโสหน้าใสแล้วนั้น บริเวณผิวหน้าอาจจะเกิดรอยแดง หรือรอยช้ำจากเข็มที่ใช้ในการรักษา โดยปกติแล้วรอยแดงเหล่านี้จะหายไปหลังจากการรักษาภายใน 3 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลด้วย โดยข้อควรปฏิบัติหลังการทำหัตถการมีดังนี้

  • ห้ามล้างหน้าประมาณ 4-6 ชั่วโมงหลังทำหัตถการ เพื่อให้ผิวดูดซับตัวยาได้มากขึ้น
  • งดทาครีมบริเวณรอยเข็ม 1 คืน เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
  • งดออกแดดแรงๆเป็นเวลา 48 ชั่วโมง และควรทาครีมกันแดดที่มี SPF30 ขึ้นไป
  • หากเกิดรอยแดง ช้ำ จากรอยเข็มบริเวณที่ฉีด สามารถประคบเย็นได้ตามคำแนะนำของแพทย์
  • ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม ตรงตามความต้องการของร่างกายเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
  • พักผ่อนให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพื่อฟื้นฟูระบบต่าง ๆ ของร่างกาย

วิธีการฉีดเมโสหน้าใส มีกี่แบบ แตกต่างกันอย่างไร ?

ในขั้นตอนแรกผู้เข้ารับบริการจะต้องได้เข้าพบแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อประเมินเกี่ยวกับการใช้สารเมโสแก้ปัญหาผิวก่อน จากนั้นแพทย์จะเลือกสูตรตัวยาเมโสที่เหมาะต่อการแก้ปัญหาผิวให้ผู้เข้ารับบริการ โดยในปัจจุบันการฉีดเมโสหน้าใสจะมีเทคนิคการฉีดด้วยกัน 2 แบบ คือการฉีดเมโสหน้าใสแบบ 16 จุด และการฉีดเมโสหน้าใสแบบสะกิด แต่การฉีดเมโสหน้าใสแบบ 16 จุด มักจะได้รับความนิยมมากกว่า เนื่องจากมีความปลอดภัยมากกว่าและตัวยาออกฤทธิ์ได้ดีกว่า

การฉีดเมโสหน้าใสแบบสะกิด

เป็นวิธีการฉีดเมโสแบบเก่า ทำโดยการสะกิดเข็มเป็นจุดเล็กๆ ทั่วบริเวณใบหน้า เพื่อให้วิตามินซึมเข้าสู่ผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับชั้นผิว ข้อดีคือไม่เจ็บ แต่ปัจจุบันจะไม่นิยมทำแล้ว เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียง ถ้าระหว่างฉีดรักษาความสะอาดไม่เพียงพอ อาจเกิดการติดเชื้อได้

การฉีดเมโสหน้าใสแบบ 16 จุด

คือเทคนิคการฉีดตามจุดฝังเข็ม 16 จุดทั่วใบหน้าตามตำแหน่งทิศทางการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลือง หรือ ตามตำแหน่งการฝังเข็มเพื่อฟื้นฟูผิวในระดับเซลล์ เป็นศาสตร์ที่กระตุ้นให้ออกซิเจนไหลเวียนบนใบหน้า มีส่วนช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและต่อมน้ำเหลือง ช่วยให้ผิวหน้าเกิดการดีท็อกซ์ ลดความมันส่วนเกินบนใบหน้า ส่งผลให้ผิวหน้าสุขภาพดี กระจ่างใสและเรียบเนียน

ฉีดเมโสสะกิดหน้าใส นานเท่าไหร่จึงจะเห็นผล?

โดยปกติจะเริ่มเห็นผลประมาณ 3 วันหลังทำหัตถการ และเห็นผลเต็มที่ประมาณ 7-14 วัน และอยู่ได้ประมาณ 1-2 เดือน

ข้อดีของการฉีดเมโสสะกิดหน้าใส

  • ช่วยเสริมสร้างและกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวหน้า ทำให้ผิวหน้ายืดหยุ่น  อิ่มฟู
  • ช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ เม็ดสีที่ทำงานผิดปกติได้รับการฟื้นฟู
  • ช่วยให้ใบหน้ากระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอ ไม่หมองคล้ำ
  • ลดการอักเสบของผิวหน้า
  • ช่วยให้ผิวหน้าดูอ่อนวัย ริ้วรอยบนใบหน้าจางลง
  • ช่วยให้รูขุมขนที่กว้างเล็กลง ผิวหน้าชุ่มชื้น สุขภาพดี
  • เห็นผลได้ไวกว่าการทาครีมบำรุง

ต้องฉีดเมโสกี่ครั้งถึงเห็นผล

โดยความถี่ของการฉีดโดยปกติแล้วจะฉีดสัปดาห์ละครั้งในเดือนแรก และในเดือนต่อไปจะฉีดทุกๆ 2 สัปดาห์ เพื่อให้ผลลัพธ์นั้นคงสภาพและอยู่ได้นาน

ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดเมโสสะกิดหน้าใส

  • ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยดำและรอยแดงจากการเกิดสิว
  • ผู้ที่ผิวหน้าหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
  • ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า
  • ผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลตนเองและผิวหน้าโทรม ต้องการการฟื้นบำรุงเร่งด่วน
  • ผู้ที่ไม่มีเวลาทาครีมบำรุงผิวหน้า
  • ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ไว

วิธีดูเมโสหน้าใส ของแท้ มีจุดสังเกตอะไรบ้าง

ก่อนตัดสินใจทำหัตถการเมโสหน้าใส ผู้เข้าใช้บริการควรตรวจสอบตัวยาและกล่องยาก่อนฉีดทุกครั้ง ตัวยาเมโสของแท้จะต้องถูกตรวจสอบและถูกรับรองจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้วเท่านั้น และบริษัทที่นำเข้ายาจำเป็นต้องขายให้กับแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น

มาเด้คอลลาเจน (MADE Collagen)

  • มาเด้คอลลาเจ น(MADE Collagen) แท้ จะประกอบด้วย Made 2 cc และ Collagen 2 cc รวม 4 cc
  • มีบาร์โค้ดระบุชื่อคลินิกหรือบริษัทที่ซื้อ
  • มีสติ๊กเกอร์ซีลที่ฝากล่องด้านข้าง (ต้องเปิดตามรอยปรุที่กลางกล่อง)

ไซโตแคร์ (Cytocare)

  • ไซโตแคร์ (Cytocare) เป็นยี่ห้อเมโสหน้าใสที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 13485 ในยุโรป
  • ไซโตแคร์ มีเพียง 3 สูตรเท่านั้น ได้แก่ Cytocare 532, Cytocare 516 และ Cytocare 502 ถ้ามีสูตรอื่นอาจจะไม่ใช่ของแท้
  • คนไข้สามารถตรวจสอบ Cytocare ของแท้ ได้ที่ https://revitacare.net/

รีจูรัน (Rejuran)

  • กล่องถูกปิดสนิทด้วยสติกเกอร์ Certification จาก Pharma Research (2 ด้าน)
  • มุมขวาบนมี QR Code ให้ขูด Scan การรับรอง
  • สติกเกอร์ QR Code จะลากยาวปิดมุมบนกล่อง (ไม่ขาด)
  • หลังกล่องฉลากภาษาไทย พร้อมเลขใบอนุญาต

ฟิลอก้า (Filorga)

  • กล่องผลิตภัณฑ์มีบาร์โค้ดระบุชื่อคลินิกหรือบริษัท FILLMED Laboratoires
  • มีสติกเกอร์ซีลที่ฝากล่องด้านข้าง (ต้องเปิดตามรอยปรุที่กลางกล่อง)
  • มี QR code สามารถสแกนเช็กในระบบว่าเป็นของแท้
  • ลายน้ำบนกล่องและบนเว็บไซต์ต้องตรงกัน
  • เลข Lot. ต้องตรงกัน ทั้งบนขวด กล่อง และเว็บไซต์
  • ฝาขวดปิดสนิทและเป็นสีเทาเท่านั้น

อันตรายจากการฉีดเมโสหน้าใสปลอม

ในทุกหัตถการว่าความงามต้องมาพร้อมกับความปลอดภัย หากละเลยอาจเกิดผลเสียมากกว่าได้เช่นอันตรายจากตัวยาปลอมที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ควรถูกฉีดเข้าไปบนผิวหน้าไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ไม่แนะนำฉีดเมโสหน้าใสกับหมอกระเป๋า หรือผู้ที่ไม่มีความชำนาญการ ผู้ขาดความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างใบหน้าและเทคนิคการฉีด รวมถึงตัวยาต้องมาจากบริษัทยาและได้รับรองจากอย.แล้วเท่านั้น

ตัวยาเมโสที่หาซื้อได้ง่ายตามแหล่งซื้อ-ขายออนไลน์ หรือกลุ่มโซเชียลมีเดียที่มีกลุ่มสำหรับซื้อขายยา ซึ่งมักจะมีกลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวอยู่ด้วย ให้อนุมานไว้ก่อนเลยว่าตัวยานั้นอาจจะไม่ใช่ตัวยาเมโสแท้ มักเป็นยาที่ไม่สามารถยืนยันแหล่งผลิตได้ ทั้งยังไม่ผ่านการรับรองจาก อย. โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นยาหิ้วและไม่ได้มาตรฐาน

ซึ่งเมโสหน้าใสของปลอมมักมีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ (Steroid) หรือฮอร์โมน หลังฉีดจึงทำให้เห็นผลไวกว่าปกติ ผิวขาวเนียนนุ่มได้ผลลัพธ์แบบทันใจ แต่เมื่อผ่านไปสักระยะผิวจะบางลงอย่างรุนแรง ทำให้ผิวไวต่อแดด เกิดฝ้า และเกิดริ้วรอยก่อนวัย ทั้งยังเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังอีกด้วย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดเมโส

ฉีดเมโสหน้าใส เจ็บไหม?

การทำหัตถการฉีดเมโสหน้าใส มักจะมีความรู้สึกเจ็บขณะที่ฉีดแต่ความเจ็บอยู่ในระดับที่ทนได้ โดยปกติแล้ว การฉีดเมโสหน้าใสจะฉีดที่บริเวณผิวชั้นกลาง ใช้ปริมาณตัวยาที่ไม่มาก และระยะเวลาในการรักษาน้อยเพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องแปะยาชา

ฉีดเมโสหน้าใส หน้าบวมกี่วัน?

สามารถเกิดอาการบวมได้ครับ แต่จะเป็นจุดเล็ก ๆ บริเวณที่มีการใช้เข็มฉีดตัวยาเข้าไป และจะยุบลงเมื่อซึมเข้าสู่ผิว ใช้เวลาประมาณ 1-3 ชั่วโมง รวมถึงสามารถเกิดอาการคันและระคายเคืองบนผิวหน้าได้ อาการดังกล่าวมักจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน สามารถประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ได้

แต่ถ้าอาการบวม แดง ระคายเคืองไม่หายภายใน 3 วัน หรือมีอาการที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นหรือเริ่มเกิดเป็นผื่นแดง แนะนำให้เข้าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที เพราะอาจจะเกิดจากสาเหตุ การอักเสบติดเชื้อ หรืออาการแพ้ตัวยาเมโส รวมถึงมาจากการทำความสะอาดไม่ดีและมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น รับประทานอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอนน้อย เป็นต้น

เมโสหน้าใส ห้ามฉีดกับใครบ้าง?

  • หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
  • ผู้ที่กำลังมีปัญหาผิวหนังอักเสบ ผิวหนังติดเชื้อ หรือเป็นสิวอักเสบรุนแรง ควรรักษาให้หายก่อนรับบริการ
  • ผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด การแข็งตัวของเลือด รวมถึงมีภาวะความดันโลหิตที่ไม่ปกติ
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
  • ผู้ที่ไม่มีเวลาการทำเมโสหน้าใสอย่างเป็นประจำอาจทำให้ไม่เห็นผลลัพธ์ของการรักษาที่ชัดเจนมากพอ

เมโสหน้าใส อยู่ได้นานแค่ไหน?

โดยทั่วไปแล้วผลลัพธ์หลังการฉีดเมโสหน้าใสจะอยู่ได้ประมาณ 2 – 3 เดือน หากฉีดอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ชำนาญการ โดยเดือนแรกควรฉีดทุกสัปดาห์ หลังจากนั้นฉีดทุกๆ 2 สัปดาห์เพื่อคงสภาพ และขึ้นอยู่กับการดูแลผิวหน้าของแต่ละบุคคล ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานยิ่งขึ้น หากหมั่นดูแลตัวเองและไม่ทำพฤติกรรมที่ทำร้ายผิว เช่น การตากแดดจัด พักผ่อนไม่เพียงพอ ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่

ฉีดเมโสหน้าใส ดื่มแอลกอฮอลล์ได้ไหม?

หลังฉีดเมโสหน้าใส แนะนำให้งดการดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เพราะทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และพิษจากบุหรี่ล้วนเป็นปัจจัยที่สร้างความอ่อนแอให้กับผิวและร่างกายของเรา ถือเป็นตัวการทำให้ผิวแห้ง ทำให้ผิวขาดน้ำ สูญเสียความชุ่มชื้น ที่สำคัญคือทำให้ประสิทธิภาพรวมถึงผลลัพธ์ของตัวยาเมโสนั้นน้อยลงและอยู่ได้ไม่นานเท่าที่ควร

สรุปการฉีดเมโสหน้าใส คืออะไร เหมาะกับใคร

การฉีดเมโสหน้าใส (Mesotherapy) เป็นกระบวนการดูแลผิวที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวิตามินและสารสกัดเข้าสู่ผิวหนังชั้นกลางเพื่อปรับปรุงคุณภาพของผิวหน้า โดยเป้าหมายหลักคือเพิ่มความกระจ่างใส ลดรอยดำ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว รวมถึงลดการอักเสบต่างๆ

รีวิวลูกค้าจริง​

มากกว่า 100,000 เคส

รีวิวผู้ใช้จริง

มากกว่า 100,000 เคส

Scroll to Top